Special : สมัครบัตร Amex วันนี้ฟรีตั๋วชั้นธุรกิจสู่ญี่ปุ่น 3 ใบ ! > "Click"
--------------------------
Blog นี้ยังคงเขียนที่ญี่ปุ่น, หลังจากที่เมื่อวานลง JAL Sakura Lounge Review ไปทีก็มีคนส่งกระทู้ Pantip BluePlanet ว่าด้วย “Japan Airlines Business Class” มาให้อ่านแต่ว่าที่นั่งบนเครื่องของเขายังเป็นแบบเก่าที่เรียกว่า “Shell Flat”
ปัจจุบัน, ทาง Japan Airlines ค่อยๆ ทยอยเปลี่ยนที่นั่งเป็นแบบใหม่ที่เรียกว่า “SkySuite”
โดย SkySuite ยังแยกย่อยเป็น 3 แบบคือ SkySuite [บางคนเรียกว่า SkySuite 8] / SkySuite 2 และ SkySuite 3
พอดีผมได้ที่นั่งแบบ SkySuite [8], ซึ่งบางคนบอกว่า “ดีที่สุด” เลยคิดว่าน่าจะเขียนลง Blog ไว้
เผื่อใคร Googling หาข้อมูลจะได้เจอ, พร้อมวิธีเลือกที่นั่งให้ได้แบบนี้แทนที่จะได้แบบเก่าด้วย
Japan Airlines SkySuite ?
ที่นั่งแบบ SkySuite จะหน้าตาคล้ายๆ กล่อง
จึงมีความเป็นส่วนตัวสูงมาก, โดยเฉพาะใครที่นั่งติดหน้าต่าง
เพราะแม้แต่คุณแอร์ฯ ที่รักก็จะไม่เดินผ่านหัวเรา
เวลาแอร์ฯ เดินมาหา, จะต้องวกเข้าซอกเล็กๆ ที่เป็นเหมือนทางเข้าออกเฉพาะของแต่ละที่นั่ง
บนเครื่องบินที่มีพื้นที่จำกัด, มันจึงเป็น Design ที่ฉลาดจนได้รับรางวัลการออกแบบยอดเยี่ยมจากทาง SkyTrax
ตอน Checkin ที่สนามบินก็มีช่องพิเศษสำหรับ Business Class [แต่จริงๆ ก็ยังช้าเพราะคิวเยอะกว่าช่อง Online Checkin อยู่ดี] พร้อมรับบัตร Priority Lane เพื่อความสะดวกในการตรวจกระเป๋าแยกต่างหากและสิทธิในการใช้ Sakura Lounge
Japan Airlines SkySuite Review
ดังที่เห็น, ผมก็เลี้ยวเข้า “ซอย” ของตัวเองมานั่งใน “กล่อง”
เมื่อยืดขาจนสุด, ยังไม่ถึงที่พักเท้าใต้จอภาพเลยด้วยซ้ำ [ผมสูง 1.7 m]
และที่นั่งแบบ SkySuite ยังมีดีอีกอย่างคือมันปรับเอนนอนได้ถึง 180 องศา !
เครื่องบินลำที่ติดตั้งที่นั่งแบบนี้จึงมักจะเป็นเครื่องที่ “บินกลางคืน” เพื่อให้ผู้โดยสารสามารถ “พักผ่อน” ได้เต็มที่
ตรงที่นั่งก็มีหูฟังตัดเสียงรบกวนของ Sony กับถุงผ้าสีดำใส่ Amenity Kits พวกแปรงสีฟัน / ผ้าปิดตา / ที่อุดหูและทางด้านขวาก็มีปลั๊กไฟทั้งแบบ Universal ทั้งแบบ USB สำหรับ Charge มือถือ, ทั้งหมดใช้โทนสีแดงดำตามแบบฉบับของ Japan Airlines
ที่ชอบอีกอย่างคือพอขึ้นเครื่อง, จะมีเอกสารให้กรอกเลยว่า “ปลุกตอนเช้าเพื่อรับอาหารรึไม่ ?”
ให้เลือกระหว่างอาหารญี่ปุ่น / อาหารฝรั่ง / อะไรก็ได้และไม่กินดีกว่า…
ก็แน่นอน, บินกับ Airlines แห่งชาติเขาทั้งทีก็ต้องสั่งอาหารญี่ปุ่น [และสิ่งที่ทำให้ผมชอบ Jal มาก็คือคุณแอร์ฯ เขามีบริการ “Miso Soup” ร้อนๆ เพิ่มพลังเวลาต้องบินไกลๆ สามารถขอได้เรื่อยๆ ทั้ง Economy Class & Business Class]
แต่ก่อนจะปรับเตียงเข้านอน, ทาง Jal ก็มี “Snack” ยามดึกเป็น Sushi !
[Amazing Japan Airlines จริงๆ ที่เรียก Sushi ตอนเที่ยงคืนกว่าๆ ว่า “Snack”]
นอกจาก White Wine / Red Wine / Champagne / เบียร์, ก็ยังมีเหล้าญี่ปุ่นอย่างสาเก / Umeshu และ Shochu
ส่วนอาหารเช้ามาแบบ “ยกกล่อง”, ทั้งจานชามและช้อนดูดีเหมือนทานที่ร้านอาหารจริงๆ
กับข้าวหลักของผมเป็น Yuanyaki Salmon [幽庵焼きサーモン] ที่เอาปลาไปหมักกับซอสและผลไม้รสเปรี้ยวก่อนจะย่าง
[เสียดาย, น่าจะมี Free Wifi ให้ใช้ด้วยสักสองชั่วโมง]
ส่วน Jal Move หรือระบบ Entertainment บนจอแทบไม่ได้ใช้เพราะว่าบินดึก, แต่จอก็ใหญ่จริงๆ ที่ 23 นิ้ว
มีเปิดหนังไปทีเดียวตอนทานข้าวเช้า [ก็ยังอุตส่าห์ดูเรื่อง Shinya Shokudo ที่เกี่ยวกับร้านอาหาร]
ส่วนวิธีเลือกที่นั่งให้ได้ SkySuite [หรือแบบอื่นๆ ตามต้องการ] นั้นก็ไม่ยากเพราะจริงๆ ทาง Japan Airlines [และทุกสายการบิน] ก็ได้บอกรายละเอียดเหล่านี้ไว้ตั้งแต่จองตั๋วแล้วแต่อาจมีความซับซ้อนนิดหน่อยสำหรับใครที่ไม่ได้บินบ่อยๆ
เช่นตอนผมซื้อตั๋ว, ก็จะรู้ชื่อ Flight ว่าเป็น “JL718”
เราก็เอาเลข Flight ไปดูว่าที่นั่งเป็นแบบไหนอีกทีใน jal.co.jp/en/inter/service/business/seat/index.html
ใครไม่ Serious ก็ไม่เป็นไรแต่เผื่อใครอยากได้ที่นั่งแบบที่ดีที่สุดหรือแบบที่ชอบ, เพราะราคาทุกแบบมันเท่ากัน
6 ชั่วโมงก็ถึง Tokyo
แม้ SkySuite แบบปรับเอน 180 องศาจะนอนสบายแต่เอาเข้าจริงก็ไม่ค่อยได้หลับเท่าไรเพราะคุณแอร์ฯ จะมาปลุกเราก่อนเครื่องลงจอดชั่วโมงกว่าๆ เพื่อทานข้าวเช้า [ถึงไม่ปลุกก็ตื่นอยู่ดีเพราะกลิ่นอาหารจากคนข้างๆ ตามมาด้วยเสียงช้งเช้งของช้อนส้อม]
แต่การนั่ง Jal Business Class ครั้งนี้ทำให้เข้าใจ
ทำไมคนถึงบอกว่า “ถ้าได้นั่งชั้นธุรกิจสักครั้งจะไม่มีวันกลับไปนั่งชั้นประหยัด [Economy Class] ได้อีกเลย”
เพราะตอนเดินลงจากเครื่อง, ผมรู้สึกว่ามัน “ไม่เมื่อย” และ “ไม่เหนื่อย” แม้แต่น้อย
ก็ไม่น่าเชื่อว่าแค่พื้นที่โดยสารเพิ่มขึ้นราวสามเท่า, มันจะทำให้เราสบายขึ้นได้ขนาดนี้
[แต่ราคาก็แพงขึ้นสามเท่าเช่นกัน, Backpacker ซำเหมาคงหมดปัญญาถ้าโลกนี้ไม่มีการ “แลกไมล์…“]