Special : สมัครบัตร Amex วันนี้ฟรีตั๋วชั้นธุรกิจสู่ญี่ปุ่น 3 ใบ ! > "Click"
--------------------------
เมื่อหลายปีก่อน, ผมเคยไปวิ่ง Jogging ริมทะเลสาบรอบภูเขา Fuji ตอนเที่ยงคืน…
แล้ว “หลง” อยู่ในป่าประหลาดซึ่งว่ากันว่าเป็นที่ที่คนญี่ปุ่นมักไปฆ่าตัวตายกัน, จนเกือบตีสามจึงมีคนมาช่วย
วันถัดมา, ผมมีโอกาสขึ้นไปที่ศาลเจ้าชั้นห้าของภูเขา Fuji และก็ได้เขียนแผ่นป้ายขอพรแขวนเอาไว้ในทำนองว่า “ผมจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง” แต่ตั้งใจว่าการมาคราวหน้าจะต้องพาตัวเองปีนขึ้นไปให้ถึงยอดเขา Fuji Summit ชั้น 10 ให้ได้ !
และผมก็ได้เจอเรื่องราวที่เหนือธรรมชาติไม่แพ้วันที่ “หลงป่า” คราวนั้นเลย…
ใครที่เคยคิดจะ “ปีนภูเขาฟูจิ” สักครั้งก็ลองอ่าน Blog นี้ดู, ผม Update เส้นทางเอาไว้อย่างละเอียดพอสมควรครับ
[Update : ไปค้นเจอรูปป้ายที่ว่ามา, ตั้งแต่สมัย “วิ่งหลงป่า” ที่ใช้ Nokia E75 ถ่าย]
การเดินทางจาก Tokyo สู่ตีนเขาฟูจิ !
ผมขึ้นรถที่ Keio Highway Bus Terminal ใกล้กับสถานีรถไฟ Shinjuku JR
น่าแปลกใจที่ไม่ค่อยเจอคนญี่ปุ่นขึ้น Bus, ส่วนใหญ่จะเป็นฝรั่งที่มาพร้อมชุดปีนเขาเต็มยศ
ถ้าใครอยากเสี่ยงก็อาจจะลองมาซื้อตั๋วที่นี่แต่ถ้าใครอยากได้ความมั่นใจก็อาจจะจอง Online ผ่าน Internet ก่อนได้, โดยเลือก Bus ที่วิ่งจาก Shinjuku ขึ้นไปยัง Fuji สถานีที่ 5 [ > highway-buses.jp/fuji]
จากนั้นก็มารับตั๋วที่ Bus Terminal เพื่อออกเดินทาง, ราคาตั๋วแบบเที่ยวเดียวก็ 2600 Yen
หรืออีกทางหนึ่งก็คือนั่งรถไฟแต่ราคามันแพงกว่าพอสมควร, Backpacker แบบผมก็เลยเลือก Bus แทนดีกว่า
Bus ค่อยๆ แล่นออกไปช้าๆ และก็ต้องบอกว่าผมหวั่นใจเพราะการมาปีน “Fuji Summit” ครั้งนี้เป็นแบบไม่ได้วางแผน, แม้แต่รองเท้าของ The North Face ที่ใช้ปีนก็เพิ่งจะซื้อที่ Sport Mall แถว Shinjuku ก่อนจะขึ้นเขาไม่กี่ชั่วโมง !
ไฟฉายก็ไม่มี, ไปซื้อที่สถานี Fuji ชั้น 5 ราคา 900 Yen
ถุงมือที่ใช้ก็เป็นแบบใส่ทั่วไป, ไม่ใช่ถุงมือสำหรับปีนเขา
ไม้ค้ำที่ใช้เซาะซอกหินเองก็ซื้อที่สถานีชั้น 5 เช่นกัน
แต่ส่วนตัวผมเองก็รู้ดีว่าต้องมีโอกาสปีน Fuji เข้าสักวัน, จึงวิ่ง Jogging วันละ 5 km มาตลอด
Bus วิ่งเข้าไปในป่ารอบ Fuji ที่ผมรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ภาพความทรงจำตอน “หลงป่า” กลางดึกเมื่อหลายปีก่อนกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง…
เตรียมตัวครั้งสุดท้ายก่อนปีนยอดเขาฟูจิ !
วิธีการขึ้นสู่ยอด Fuji ที่นักปีนเขานิยมมีอยู่ 2 แบบด้วยกัน
คือเริ่ม “ปีนกลางวัน” แล้วไปนอนพักบนกระท่อมเล็กๆ แถวสถานีชั้น 7 – 8 เพื่อเอาแรงแล้วค่อยปีสู่ชั้น 10 หลังเที่ยงคืนหรืออีกตัวเลือกคือ “ปีนตอนหัวค่ำ” ทีเดียวถึงยอดเขาโดยใช้เวลาราว 7 ชั่วโมง, จากนั้นก็รอดูดวงอาทิตย์ [Asahi] ขึ้นเวลาราวตี 4
ผมเลือกแบบหลัง, เป็นการปีนเขาในความมืด
ในแต่ละปีจะมีคนตายบน Fuji ราว 3 – 5 คน เพราะอากาศเบาบางหรือไม่ก็หินถล่มใส่
แล้ว Bus ก็มาถึงสถานีชั้นที่ 5 ใต้ท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง…
ใครที่มาแบบไม่พร้อมเช่นผม, ก็สามารถเตรียมตัวอีกครั้งที่นี่เป็นที่สุดท้าย
เพราะที่สถานีชั้น 5 ยังพอหาซื้อของที่จำเป็นในการปีน Fuji ได้, เช่นน้ำดื่มขวดในราคาปรกติ / Oxygen อัดกระป๋อง / อาหารแห้ง & Power Bar สำหรับใช้เป็นเสบียง / ไม้เท้าช่วยค้ำติดกระดิ่งเพื่อความปลอดภัยและไฟฉายแบบมือหรือแบบคาดหัว
อุณหภูมิที่ชั้น 5 ตอนค่ำๆ เริ่มจะเย็นลง ทั้งที่ญี่ปุ่นเดือน Jul – Aug เป็นฤดูร้อน
แต่ก็มีแค่ 2 เดือนนี้เท่านั้นที่รัฐบาลอนุญาตให้ปีนสู่ยอด “Fuji Summit” ได้
เพราะในเดือนอื่น บนยอดเขาจะมีหิมะปกคลุมและเสี่ยงต่อ Snowfall
ใครที่เตรียมตัวมาดี, ก็เริ่มออกเดินเท้าสู่ Fuji สถานีที่ 6 เบื้องหน้า…
แต่บางคนก็แวะศักการะศาลเจ้าที่สถานีชั้น 5 เพื่อขอพรก่อน
และบางคนก็เดินวนไปมาเพื่อปรับตัวให้เข้ากับอากาศที่เบาบางลง
เส้นทางทั้ง 4 สู่ยอดเขาฟูจิ !
โดยมี “Yoshida Trail” เป็น Route ยอดนิยมเพราะความชันน้อยที่สุดและยังมีกระท่อมเล็กๆ ให้พักรายทางระหว่างสถานี 6 – 8 สำหรับใครที่ไม่ไหวเพราะ Fuji เป็น “ภูเขาศักดิ์สิทธิ์” ของญี่ปุ่นที่มีความสูงถึง 12388 ฟุต !
ผมเองก็ไปทาง Yoshida Trail
เพราะอยากเห็นกระท่อมบนเขาและส่วนตัวก็ไม่ได้มีเสบียงใดๆ นอกจาก Power Bar สองแท่ง
ช่วงแรกของการปีนแถวๆ สถานีที่ 5 – 7 ยังคงเป็นทางเดินเท้าง่ายๆ สำหรับคนทั่วไป
แทบไม่ต้องใช้ไม้เท้าค้ำ, แค่สาดไฟฉายแล้วมองทางดีๆ ระวังอย่าให้เท้าพลิกหรือเกิดอุบัติเหตุก็พอ
ข้อเสียอย่างนึงของกระท่อมบน Fuji ก็คือมีแต่ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น, ทั้งอ่านเขียนและคุย
ที่ไม่น่าเชื่อก็คือระยะทางกับเวลา
ปรกติผมวิ่ง Jogging วันละ 5 Km ภายใน 30 นาที
แต่บน Fuji, การเคลื่อนที่ต้านแรงดึงดูดโลกในแนวตั้งต้องใช้เวลา 5 ชั่วโมงครึ่งสำหรับระยะทาง 4.3 Km !
เริ่มต้นการปีน, ทุกคนกำลังใจยังดี
ผมมีหลงออกนอกเส้นทางนิดหน่อยแต่ก็กลับมาได้เพราะเจอกับ Backpackers ฝรั่งชาว Russia สองคนที่มาพร้อมแผนที่และก็โชคดีที่เจอคนญี่ปุนรู้เส้นทาง, ตัวผมเลยกลายเป็นล่ามประสานงานง่ายๆ แถมยังได้เพื่อนร่วมทางขึ้นสู่ยอดเขา
กลางความมืดก็มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นนิดหน่อย
คือน้ำดื่มในเป้ผมที่มี Zip ปิดไว้แน่นหนาเกิดหายไปหนึ่งขวด
น้ำดื่มลิตรครึ่งจึงเหลืออยู่แค่ลิตรเดียว, แต่ก็ยังคิดว่าไม่เป็นไร
เพราะยิ่งสูงขึ้นไปอุณหภูมิก็ยิ่งลดลง
คาดว่าบนยอดน่าจะถึงขั้น “ติดลบ” ทั้งที่พื้นราบเป็นฤดูร้อนกว่า 35 c !
ลมบนภูเขาเริ่มพัดแรงและเส้นทางระหว่างสถานีชั้น 7 – 8 ก็เปลี่ยนจาก “ทางเดินเท้า” กลายเป็นกองหินใหญ่เรียงสูงในแนวตั้ง, บางจุดน่าจะชันถึง 45 – 60 องศาจนต้องใช้สองมือเกี่ยวหินเพื่อตะกายตัวขึ้นไปนความมืดมิดอย่างช้าๆ
เริ่มเห็นคนที่กำลังใจลดลง, นั่งพักอยู่ระหว่างทางข้างๆ
เรื่องความหนาวไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับผมและเรื่องความเหนื่อยก็ไม่ใช่
แต่ “อากาศที่เบาบาง” สำหรับคนไทยในกรุงเทพฯ คือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ
อุปสรรคและปัญหาใหญ่สำหรับคนไทยในการปีนภูเขาฟูจิ !
ผมเริ่มรู้ตัวว่าที่หลายคนนั่งพักระหว่างทางขึ้นเขาอาจไม่ใช่เพราะเขาเหนื่อยหรือไม่ไหว
แต่พวกเขานั่งเพื่อ “ปรับความดันภายในตัว” ไม่ให้เวียนหัวหรืออาเจียนออกมาต่างหาก
ตรงนี้ผมแนะนำว่า “รองเท้าปีนเขาเป็นสิ่งสำคัญมาก”, ต้องเลือกคู่ที่แน่นกระชับกับเท้าแต่มีพื้นที่ด้านหน้าด้านข้างเหลือเพื่อไม่ให้ “บีบเท้า” จนเกินไปและควรจะเป็นแบบหุ้มข้อสูงขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้ “เท้าพลิก”
อย่าลืมว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นบนเขาในความมืดอาจไม่มีใครช่วยเราได้, ภาษาอังกฤษก็ไม่ใช้กันด้วย
ผมใช้ The North Face คู่นี้ที่เพิ่งซื้อแต่ถือว่า Ok, สมเป็นรองเท้าเกรด Outdoor ของจริง
มีมาตรฐานสองตัวหลักคือ GoreTex ที่กันน้ำได้และ Vibram ที่เป็นพื้นป้องกันการลื่น
Japan Only : มีห้องน้ำบนภูเขาฟูจิ !
แต่สิ่งนึงที่ยังคงน่ารักและทำให้ยิ้มได้ก็คือห้องน้ำตามแบบฉบับคนญี่ปุ่น
ที่สถานีแต่ละชั้น จะมีห้องน้ำทำจากไม้กั้นง่ายๆ ไว้ให้ทุกคนใช้, โดยมีค่าบำรุง 200 Yen
ทีแรกผมก็คิดว่าถ้าไม่หยอดเหรียญใส่กล่องเหล็กนี้, ประตูเลื่อนจะเปิดไม่ออก
แต่ที่จริงประตูมันไม่ได้ Locked !
ถึงอย่างนั้น, ชาวญี่ปุ่นทุกคนที่เดินทางมาอย่างเหนื่อยล้าก็ยังคงหยอดเหรียญร้อยเยน 2 เหรียญใส่กล่อง [และทั้งที่บางครั้งประตูห้องน้ำที่ว่าก็เปิดคาอยู่ด้วยซ้ำแต่ก็ไม่มีใครเลยจริงๆ ที่เดินเข้าห้องน้ำไปโดยไม่หยอดเหรียญ !]
นอกจากนี้ห้องน้ำบน Fuji ก็ยังสะอาดเหลือเชื่อ, ในภาพนี้คือห้องน้ำบนสถานีชั้น 8 !
สู่การเดินทางภายใน : เราปีนภูเขาฟูจิไปทำไม ?
ระหว่างชั้น 9 – 10, ได้พบว่าตัวเราขึ้นมาอยู่บนฟ้าเหนือกว่าก้อนเมฆแล้ว
ในความมืดมิดมีดวงดาวพร่างพราวแบบที่ไม่อาจเห็นได้ในกรุงเทพฯ หรือใน Tokyo
พอมองลงไปก็เห็นแสงไฟกระพริบด้านล่าง, บนเส้นทางแสนไกลที่เราเดินผ่านมา…
ถามว่า “การปีนฟูจิมันยากมากมายเลยหรือ ?”
ก็คงต้องตอบว่า “ไม่”
ในด้านกำลังกาย, ผมคิดว่าใครๆ ก็สามารถขึ้นสู่ยอดเขาได้แต่สิ่งที่เป็นตัวชี้ขาดว่าเราจะไปได้ถึงสถานีชั้น 10 หรือไม่คือ “กำลังใจ” เพราะระหว่างทางจะมีคำถามหนึ่งเกิดขึ้นในหัวเราซ้ำๆ ว่า “เรามาที่นี่ทำไม ?” หรือไม่ก็ “เรากำลังทำอะไรอยู่ ?”
บางทีเราก็ไม่มีคำตอบที่ดีพอให้กับตัวเอง
แต่ระหว่างนั้นเราก็ยังคงก้าวไปทีละก้าว
ผมคิดว่า Fuji ก็คือ “มนุษย์ที่หลงทาง”
ที่สุดปลายของชีวิตอาจมีคำตอบที่เราค้นหามาตลอดก็ได้
แม้ว่าวันนี้เราจะยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรด้วยซ้ำ
แต่ถ้าเรายังคงมีกำลังใจ, มองฟ้าและมองดาวแล้วยิ้มให้ตัวเองได้ไปพร้อมๆ กับมีคนรอบข้างซึ่งก็อาจแค่ไม่กี่คนที่เดินร่วมทางไปกับเราเงียบๆ แม้จะไม่ได้คุยไม่ได้พูดจาแต่รับรู้อยู่ภายในตลอดว่า “เป้าหมายของเราคือสิ่งเดียวกัน”
การไปให้ถึงยอดเขา Fuji ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ !
ยิ่งกว่า “หลงป่า” คือสิ่งที่ลอยอยู่บนฟ้าเหนือฟูจิ…
พระอาทิตย์แรก [Asahi] คือสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นทุกคนศรัทธาเพราะมันแปลว่า “ความหวัง”
แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกตะลึงและขนลุกไปทั้งตัวก็คือก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้น, นานเกือบหนึ่งนาทีที่ผมเห็น “เมฆดำ” ทะมึนเกาะกลุ่มอยู่กลางท้องฟ้าไกลสุดสายตาแล้วอยู่ๆ มันก็ตรงเข้ามาพร้อมกับ “ขยายใหญ่” ขึ้นเป็น 7 แฉกราวกับมังกรขนาดยักษ์ !
ผมไม่รู้ว่าคนญี่ปุ่นและนักปีนเขาคนอื่นๆ เห็นแบบผมรึเปล่า ?
นาทีที่กลุ่มเมฆมังกรพุ่งเข้ามา, ผมรู้สึกเหมือนเวลาหยุดนิ่งวูบหนึ่ง
แต่แล้วพริบตานั้น, ผมก็เห็นก้อนเมฆเริ่มกระจายตัวและกลายสภาพเป็นรูปเรือ
นำแสงอาทิตย์แรกเผยโฉมให้ทุกคนบนยอดเขา Fuji ได้เห็น…
ผู้ใหญ่ที่ผมเคารพท่านหนึ่งซึ่งเป็น “แฟนพันธุ์แท้การ์ตูนญี่ปุ่น” ในไทย, พอเห็นภาพนี้ก็ถึงกับตกใจแล้วบอกว่า “นี่มันเรือของเทพแห่งโชคลาภทั้ง 7” หรือ “Shichifukujin Fune [七福神船]” ตามตำนานปรัมปราของญี่ปุ่น !
และก็น่าแปลกมากตรงที่มันปรากฏอยู่กลางเส้นขอบฟ้าชัดเจน, โดยไม่มีกลุ่มเมฆอื่นบนระนาบเดียวกันเลย
คนอื่นอาจมองไม่เห็นเรือลำนี้หรืออาจมีแค่ผมที่คิดไปเอง
แต่ผมนึกถึงเรื่องราววัน “หลงป่า” และรู้สึกว่าคำตอบในคำถามที่ตามหามานานมันได้รับการเฉลย…
นักปีนเขาชาวญี่ปุ่นหลายคนพนมมือไหว้ให้กับแสงแรกของวัน
จนดวงอาทิตย์ปรากฏพ้นจากขอบฟ้า
การเดินทางสู่ยอดเขาฟูจิของผมได้สิ้นสุดลงตรงนี้
[ใครที่มีคำตอบดีๆ ให้กับภาพถ่ายบนยอดเขาฟูจิที่เห็นนี้ก็รบกวน Comment ไว้ได้]
แต่สำหรับผมแล้ว, การปีนสู่ยอดเขา Fuji ก็เสมือนการเดินทางภายในตัวเอง
อาจฟังดูเกินจริงไปนิดแต่อย่าลืมว่าผมคือคนที่เคยหลงทางติดอยู่ในป่ารอบฟูจิตอนตีสาม, กลางความมืดมิดที่แปลกประหล่าดและอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 10 องศานานหลายชั่วโมงหลังจากวิ่ง Jogging เป็นระยะทางเกือบ 7 Km…
หลังจากนั่งมองแสงแรกของวัน,
ผมก็เดินวนรอบปากปล่องภูเขาไฟ
แม้จะเช้าแล้ว, แต่ลมบน Fuji ก็ยังคงพัดแรงและหนาวจัด
ผมเดินกลับลงมาตามทางลาดที่เป็นฝุ่นทรายสีดำโดยไม่ลืมที่จะแวะศาลเจ้าที่สถานีชั้น 5 อีกครั้ง
คำสัญญาที่เคยสาบานไว้ก็สมบูรณ์แล้วเช่นกัน,
ผมวางไม้เท้าที่ปลายสึกไว้ข้างๆ ศาลเจ้าบนสถานีชั้น 5
แต่เก็บกระดิ่งสองอันที่เกี่ยวอยู่ตรงปลายไม้กลับมาเพื่อบอกตัวเองว่าการเดินทางสิ้นสุดแล้วจริงๆ
และใครที่มองเห็นเรือลำเดียวกันกับผม, ก็ขอให้เทพแห่งโชคลาภทั้ง 7 บินผ่านน่านฟ้าไปหาครับ
…
Update : มีหลายคนติดต่อผมมาขอภาพ Original File รูปเรือของ 7 เทพแห่งโชคลาภ !
ส่วนนึงน่าจะขอเพราะรู้สึกว่ามันคือ “ของแท้” และอีกส่วนน่าจะเพราะอยากดูรายละเอียด EXIF ของภาพว่า “ถ่ายจากฟ้าบนยอดเขาฟูจิจริงรึไม่ ?” หรือว่าผมได้ “ตัดต่อ” อะไรเข้าไปบ้างรึเปล่า [ซึ่งก็ไม่ว่ากันครับ]
Update 2 : ผมลอง Search หาคำว่า “Shichifukujin [七福神]” ในประวัติศาสตร์เก่าๆ ของญี่ปุ่นดู, มีเรื่องบังเอิญคือด้านหน้าของเรือมีมังกรและฉากหลังก็มักจะเป็นการล่องมาจากยอดเขาฟูจิตอนพระอาทิตย์ขึ้นเช่นกัน…
ใครที่อยากได้ Original File ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ ก็ลง Mail, ผมจะส่งภาพเต็ม 2.55 MB ไปให้พิจารณาครับ
One Reply to “Japan no Visa : จบสัญญาวันหลงป่า กลับมาพิชิตยอดฟูจิ !”
Comments are closed.