Special : สมัครบัตร Amex วันนี้ฟรีตั๋วชั้นธุรกิจสู่ญี่ปุ่น 4 ใบ ! > "Click"
--------------------------
โตได [Todai – University of Tokyo] ได้ยินกันบ่อย ในหนังสือการ์ตูน โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตวัยรุ่นญี่ปุ่นหรือการสอบเข้า, แน่นอนครับว่า Todai เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 แห่ง Asia และติด Top 20 ของโลก
แต่ถึงจะได้ยินบ่อยแค่ไหน, เราก็ไม่รู้อยู่ดีละว่าแล้ว “โตได” อยู่ไหน ?
ทำไมเวลาที่ใครในการ์ตูนแนะนำตัวว่า “เรียนอยู่โตได“, คนญี่ปุ่นถึงต้องตกใจ ?
และทำไมมหาวิทยาลัยแห่งนี้จึงมีชื่อว่า “โตได” ทั้งที่มันไม่เห็นมีคำว่า “ได [Dai]” อยู่ในชื่อเลย ?
มาเดินไป Todai จากสถานีรถไฟใต้ดินกัน, ภาพทั้งหมดถ่ายด้วย Microsoft Lumia 1020 เครื่องใหม่ของผมครับ
ทำไม University of Tokyo ถึงย่อว่า Todai [โตได] ?
ในภาษาอังกฤษไม่มีก็จริง, แต่ชื่อภาษาญี่ปุ่นของ “มหาวิทยาลัยโตเกียว” คือ “Tokyo Daigaku“
และคนญี่ปุนก็ชอบย่อภาษาอังกฤษยาวๆ ด้วยพยางค์หน้าสุดของ 2 คำ
[เช่น Mister Donut ก็ย่อว่า Misudo หรือ McDonald’s ก็เป็น Makudo]
ในที่สุด “Tokyo Daigaku” ก็เลยถูกย่อเหลือ “โตได [Todai]“
รถไฟใต้ดินที่วิ่งมามหา’ลัยอันดับ 1 ในญี่ปุ่นก็มีหลายสายด้วยกัน, จะลงที่ Ueno แล้วเดินมาก็ได้ ในระยะแค่ 1.6 km แต่ถ้าเอาสถานีเล็กๆ ใกล้สุดๆ ก็ Hongo Sanchome แล้วเดินต่อมาตามทางในภาพแรก 3 นาที
ตัวมหา’ลัยโตไดนั้นอยู่ในเขตบุงเกียว [Bunkyo], เรียกว่าอยู่ใน Centre ของ Tokyo เลยทีเดียว
ด้านหน้าสถานีก็มีร้านกาแฟและร้านอาหารมากมายตาม Style สถานีมหาวิทยาลัย
ผมเองเดินขึ้นจากสถานี Hongo Sanchome แล้วก็งงๆ ไม่รู้ว่าจะต้องเลี้ยวทางไหน [ไม่เคยวางแผนเลยเวลาเที่ยวเอง – -], ก็เลยลองถามคนแถวสถานีดูว่า “Todai ไปยังไง ?”
ปรากฏว่าเค้ากำลังจะมา Todai พอดี, ก็เลยชวนผมเดินไปด้วยกัน
[ดีที่ไม่ตอบว่า “จะเข้าโตไดเหรอ คุณก็ต้องซ้อม ซ้อมและซ้อม – -/]
คุณผู้หญิงคนที่พาผมเดินมานี่เค้ามาจาก Nagoya เพื่อเข้า Course อบรมของ Todai
พูดภาษาอังกฤษเก่งมากที่สุดในบรรดาคนญี่ปุ่นที่เคยเจอมา…
แค่ 3 นาทีก็จะเจอ “ประตูแดง [Akamon]” ในตำนาน [ผมชอบมุมนี้มากจากการ์ตูนเรื่อง “イリヤッド]
ว่ากันว่าใครที่ได้เดินผ่านใต้ประตูแดง [Akamon], จะได้มาเรียนที่โตไดครับ
ดังนั้น เด็กไทยคนไหนอยากเข้ามหา’ลัยอันดับ 1 ใน Asia, ก็ซื้อตั๋วเครื่องบินมาเลย
เดี๋ยวนี้เที่ยวญี่ปุ่นไม่ต้องใช้ Visa แล้ว มาเองได้ง่ายๆ
ถัดจากประตูแดง [Akamon] ก็จะเป็นประตูใหญ่ [แต่ดันไม่ดังเท่าประตูแดง]
โตไดก่อตั้งขึ้นในปี 1877, ถ้าเทียบกับจุฬาฯ ของไทยก็คือก่อนหน้าแค่ 40 ปี
ปัจจุบันนี้ Todai มีการแยกไปตั้งวิทยาเขตย่อยๆ ในจังหวัดอื่นๆ อีก 4 ที่, รวมแล้วมี 10 คณะ แต่ที่ดังสุดๆ ของโตไดก็ต้องเป็น “อักษรศาสตร์” กับ “กฏหมาย” ครับ คงเพราะว่า Todai เป็นมหา’ลัยเก่าแก่ด้วย
เดิมทีโตไดใช้ชื่อว่า “มหาวิทยาลัยอิมพีเรียล [Imperial University : Teikoku Daigaku]
โตใดในสมัยนั้นถูกสร้างขึ้นตามแบบตะวันตก เพื่อศึกษาวิทยาการฝรั่งโดยเฉพาะ
และ Todai ก็เริ่มมีบทบาทในการสร้างชาติญี่ปุ่น
จนในที่สุด เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2
“มหาวิทยาลัยอิมพีเรียล” ที่มีชื่อ [เขียนด้วยตัว Kanji] เกี่ยวพันกับจักรพรรดิและจักรวรรดิญี่ปุ่นจึงถูกเปลี่ยนชื่อเป็น University of Tokyo ที่บอกแค่ตำแหน่งที่ตั้งของมหา’ลัยเท่านั้น
แต่โตไดก็ยังคงมี “ตึกเก่า” อยู่เยอะครับ
พร้อมๆ กับสร้างตึกใหม่เท่าที่พื้นที่จะอำนวย
ในตัวมหา’ลัยก็จะมีรูปปั้น Professor ฝรั่งเยอะมาก [แต่เขียนประวัติเป็นภาษาญี่ปุ่น – -]
บรรยากาศในโตได, แม้จะอยู่ในญี่ปุ่น แต่ผมว่าคล้ายกับมหา’ลัยในโลกตะวันตก
บางมุมนี่ดูเหมือน U of Edinburgh ใน Scotland เลย
และที่ Todai มีเหมือนในมหา’ลัยฝรั่งอีกอย่างก็คือ “ต้นไม้ใหญ่”
เดินไปทางไหนก็เจอแต่สีเขียว
มหาวิทยาลัยที่ให้การศึกษาคนควรจะเป็นเช่นนี้, มีรากฐานที่ยาวนาน และแผ่กิ่งก้านให้ความรู้ความร่มเย็นแก่สังคม โดยไม่แบ่งแยกสีผิว เชื้อชาติ ศาสนา
ส่วนเหตุผลที่ทำให้คนญี่ปุ่นตกใจเวลาใครบอกว่า “เรียนโตได” ก็เพราะว่าระบบการศึกษา
ญี่ปุ่นเป็นชาติที่พัฒนาแล้วก็จริง, แต่ต่างจากฝรั่งตรงที่ยังศรัทธาเรื่องการเรียนในระบบมาก
ใครที่เข้าโรงเรียนประถมดีๆ ได้, แปลว่ามีโอกาสเรียนในมัธยมที่ดีๆ
มหาวิทยาลัยที่ดี
และมีชีวิตการันตีว่าจะเข้าทำงานในบริษัทชื่อดัง ความมั่นคงสูง จ้างงานตลอดชีพ
[แม้ปัจจุบันจะเริ่มลดๆ แนวคิดนี้ลงไปบ้างแล้ว]
ถ้าใครสอบติด Todai, ก็หมายความว่าไม่มีวันตกงานไปตลอดกาลนั่นเอง
ดังนั้น ในแต่ละปี จึงมีเด็กที่ฆ่าตัวตายเนื่องจากสอบไม่ผ่าน
ลองคิดดูครับว่าประเทศเกาะเล็กๆ ที่มีพื้นที่ราว 3 / 5 ของเมืองไทยเรา แต่มีประชากรมากกว่าเกือบ 2 เท่า จะต้องฆ่ากันขนาดไหนเพื่อเข้าเรียนมหา’ลัยซึ่งมีจำนวนจำกัด
ผมก็เดินจากประตูแดง [Akamon] มาตามรั้วมหา’ลัยโตได, วันนี้เป็นวันเสาร์จึงค่อนข้างเงียบ
มีคนภายนอกเข้ามาจูงน้องหมาเดินเล่น
และก็มีคนนั่งพักอ่านหนังสือใน Starbucks & Doutor Coffee
ในนี้มีร้านสะดวกซื้อ 2 – 3 ร้าน, ส่วนใหญ่เป็น Lawson
[มีขายเหล้าเบียร์ตามปรกติ, เปิด 24 ชั่วโมง ดื่มได้ตลอด เหมือนมหา’ลัยในฝั่ง Europe]
ผมก็แวะซื้อไก่ทอดคาราอาเกะคุง [Karaage Kun] รสข้าวโพดที่เป็นของประจำฤดูร้อนกับนมสดหนึ่งกล่อง, นั่งทานอยู่หน้าร้าน มองคนเดินผ่านไปมาช้าๆ
ที่โตไดใช้จักรยานกันเยอะ, มีที่จอดแยกระหว่างคนในกับคนนอกด้วย
และช่วงที่มี Sakura หรือดอกไม้บาน, ก็จะมีงานชมดอกไม้ [Hanami] จัดที่ Todai ให้คนเข้ามาได้ด้วย
แม้จะเป็นวันเสาร์ แต่ก็มีนักศึกษามาทำกิจกรรมในมหา’ลัยเหมือนบ้านเรา
ในสนามมีซ้อมกีฬา, เจอคณะละครมาซ้อมประสานเสียงอยู่หน้าสวน
เวลาผมไป Backpack เมืองนอก, มักจะไป “หอสมุด” ใหญ่ๆ และถ้ามีโอกาส ก็จะไปดูโรงเรียนหรือมหา’ลัย เพราะผมเชื่อว่าอนาคตของชาติใด ก็ขึ้นอยู่กับการศึกษาของชาตินั้น
ใครที่มาญี่ปุ่นบ่อยๆ, จะด้วยเรื่องงานหรือมาเที่ยว
และรู้สึกเบื่อเพราะว่า “ไปทั่ว Tokyo แล้ว”
อาจจะลองออกนอกเส้นทาง, มาสถานที่ที่เราได้ยินชื่อบ่อยๆ ในเมืองไทยแต่ไม่ค่อยมีใครเคยมาดูบ้างครับ :)
Update : มีภาค 2 ต่อแล้ว, ไปสักการะ “ศาลเจ้ายาสุคุนิ [Yasukuni Jinja] กัน
ชื่อนี้ อาจจะคุ้นหูสำหรับใครที่ชอบดูข่าว เพราะทุกปี จะต้องมีอยู่หนึ่งเดือนที่ “Yasukuni” เป็น Drama ระหว่างจีนและเกาหลี เมื่อนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นไปเยี่ยมศาลเจ้าแห่งนี้ แต่รู้ที่มาไหมครับว่าทำไม :)
ขอบคุณมากๆ สำหรับข้อมูลนะคะ ม.โตไดสวยจริงๆ
ขอบคุณคุณ Eve เช่นกันที่แวะมาอ่านนะคร้าบ :D