Special : สมัครบัตร Amex วันนี้ฟรีตั๋วชั้นธุรกิจสู่ญี่ปุ่น 3 ใบ ! > "Click"
--------------------------
ต่อจาก “โตได [University of Tokyo]” ก็เป็น “ศาลเจ้ายาสุคุนิ [Yasukuni Jinja]” ที่สร้างปัญหาให้ญี่ปุ่น – เกาหลี – จีนทุกปี, ยิ่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนปัจจุบันอย่าง Shinzo Abe ต้องการแข็งต่อจีนด้วยแล้ว…
ใครที่ดูข่าวสังคม เศรษฐกิจ การเมือง, ต้องคุ้นชื่อ “ยาสุคุนิ [Yasukuni]“
แต่ถ้าใครชอบข่าวซุบซิบดารา, ปีที่แล้วก็อาจได้ยิน Drama จากจีน เรื่อง Justin Bieber ไปเคารพศาลเจ้านี้เช่นกัน
คนไทยได้ยินชื่อ “ศาลเจ้ายาสุคุนิ” มาเป็นสิบปี แต่ก็ไม่รู้หรอกว่ามันตั้งอยู่ใจกลางกรุง Tokyo !
และทำไมเวลานายกฯ ญี่ปุ่นไปเยือนศาลเจ้าแห่งนี้ จะต้องมีปัญหากับจีนหรือไม่ก็เกาหลี ?
สงสัยเหมือนผมไหมครับว่า เวลาคนชราญี่ปุ่นที่เคยผ่านช่วงเวลาแห่งความบ้าคลั่ง, สร้างเครื่องบิน เรือรบและรถถังเพื่อรุกรานประเทศอื่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้กลับมามองดูซากแห่งความทรงจำใน Yasukuni Jinja
อะไรอยู่ในห้วงคิดของพวกเขาเหล่านั้น ?
Yasukuni แปลความหมายได้ตรงตัวว่า “ประเทศที่สงบสุข”
เหตุผลที่ ยาสุคุนิ กลายเป็น “ศาลเจ้าต้องห้าม” ระหว่างประเทศก็เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นได้ทำพิธีอัญเชิญดวงวิญญาณผู้เสียชีวิตทั้ง 2466532 คนในสงครามโลกครั้งที่ 2, รวมทั้งวิญญาณของนายทหาร 1068 นาย
และผู้นำระดับสูงซึ่งถูกหมายหัวว่าเป็นระดับ “อาชญากรสงคราม” อีก 14 ดวงมาสถิตย์ที่ยาสุคุนิแห่งนี้
สร้างความไม่พอใจโดยตรงให้เกาหลีและจีน ซึ่งมีเหยื่อล้มตายจากสงครามโลกหลายสิบหลายร้อยล้านคน
และความจริง ตำแหน่งที่ตั้งของศาลเจ้า Yasukuni ก็อยู่ใจกลางกรุง Tokyo, ตรงข้ามกับ “บุโดคัง [Nippon Budokan]” ซึ่งก็แปลว่าเราสามารถเดินทางมาง่ายๆ ด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน แล้วเดินต่อแค่ 170 m
แต่ทัวร์ไทยคงไม่พาไปยาสุคุนิ…
สถานี Metro ที่ใกล้ Yasukuni ก็มี 2 ที่ แต่ผมคิดว่า Kudanshita Station จะใกล้กว่า
พอมาถึงก็ออก Exit 1, เดินอีกไม่กี่นาทีก็จะเห็นศาลเจ้ายาสุคุนิเลย
เริ่มจากประตูโทริอิ [Torii] ที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น, ชื่อว่า “Dai Ichi Otorii”
ก่อนจะถึงตัวศาลเจ้า, ก็ยังมีรูปปั้นหินต่างๆ วางเรียงราย
และมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ย้อนไปถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย
วันที่ผมมา, เจอเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ เดินกันป็นกลุ่มกับคุณแม่ที่กางร่มกันแดด
สังเกตว่าเกือบทุกคน “แต่งดำ”
ทีแรกผมก็คิดว่าบังเอิญ
ทว่า ยิ่งเดินเข้าใกล้ศาลเจ้า Yasukuni มากเท่าไร ก็ยิ่งเจอคนแต่งชุดดำกันมากขึ้น
จนสงสัยสุดท้าย เจอสาวฝรั่งคนหนึ่งจูงเด็กนักเรียนเดินมา, ผมก็เลยถามว่า ทำไมวันนี้ถึงมีเด็กๆ เยอะขนาดนี้ แล้วทำไมคนที่ดูเหมือนจะเป็นคุณแม่มารับลูกถึงต้องแต่งชุดดำกันหมด ?
ก็ได้คำตอบว่า โรงเรียนรอบๆ ศาลเจ้ายาสุคุนิเคร่งครัดมากเรื่องชุดของผู้ปกครองครับ
แม้ไม่ได้เกี่ยวกับ Drama เรื่องดวงวิญญาณทหารโดยตรง แต่ก็ถือว่าเคารพสถานที่บริเวณนี้
แต่เอาจริงๆ, ถ้าใครไม่ได้รู้มาก่อนว่ายาสุคุนิคือศาลเจ้าที่ดวงวิญญาณสงครามถูกเชิญมาสิงสถิตย์
ก็คงไม่คิดอะไร
เพราะบรรยากาศภายใน Yasukuni Jinja ก็เหมือนกับวัดชินโตส่วนใหญ่
เดินเข้ามา มีขันน้ำเล็กๆ ให้ตักล้างมือ, เรียงรายล้อมรอบเราด้วยเสาโคมหินและต้นไม้ใหญ่สีเขียว
มีตัวศาลเจ้าตรงกลาง, พร้อมร้านขายของที่ระลึก
และยังมีคนมาเขียนคำขอพรแขวนไว้เหมือนกับศาลเจ้าอื่นๆ
แต่ตัวศาลเจ้า Yasukuni จะไม่อนุญาตให้เดินเข้ามาถ่ายรูปในระยะใกล้, จึงต้องถ่ายจากด้านนอกเสาประตูแทน [ใครที่มีภาพถ่ายตัวศาลเจ้ายาสุคุนิใกล้ๆ, ก็รู้ไว้ว่าคงแอบถ่ายมา ไม่แนะนำครับ]
ผมไหว้ศาลเจ้ายาสุคุนิเสร็จก็เดินรอบๆ ดูต่อ
และก็เริ่มเข้าใจได้ว่าทำไมจีนและเกาหลีถึงไม่ชอบ Yasukuni ขนาดนั้น ?
เริ่มจากรูปปั้นสุนัขและม้า ที่ทางรัฐบาลญี่ปุ่นสร้างขึ้นมาเพื่อระลึกถึงสัตว์สองชนิดนี้ที่รับใช้มนุษย์ช่วงสงคราม, ตามด้วยแผ่นป้ายหินสลักชื่อนายทหารผู้เสียสละตน ปกป้องชาติในสงครามโลกครั้งที่ 2
ภาพการขยายดินแดนอย่างบ้าคลั่งของญี่ปุ่น
รูปปั้นระลึกถึงหญิงสาวและลูกๆ ที่เสียเสาหลักของครอบครัวไป
ข้าวของเครื่องใช้จากคนในประเทศที่ญี่ปุ่นเข้าปกครอง, เช่นไทยและพม่า
ในยุคนั้น, คนญี่ปุ่นอยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิ
ซึ่งถูกยกเสมือนหนึ่งเทพเจ้า
หากรถส่วนพระองค์ของจักรพรรดิขับผ่าน, ต้องก้มลงกราบพื้นดิน ห้ามแม้แต่จะมอง
ทุกสิ่งที่จักรพรรดิสั่ง ก็คือประกาศิตจากสวรรค์
บวกกับแสนยานุภาพทางการทหารของ “จักรวรรดิญี่ปุ่น” ที่พัฒนาขึ้นถึงระดับสูงสุดของโลก, เหนือกว่าฝั่งตะวันตกอย่างอังกฤษและฝรั่งเศส เพราะหลังจากที่ญี่ปุ่นเปิดประเทศ ก็พยายามศึกษาเรียนรู้ทุกสิ่งจากฝรั่ง
[อ่านเพิ่มจากที่มาของการก่อตั้ง “มหา’ลัยโตได” ที่ผมเขียนลง Blog ไว้เมื่อวานได้]
เหตุผลหนึ่งก็คือญี่ปุ่นมีโรงงานผลิตเหล็ก / เครื่องจักรและรถยนต์ของตัวเองอยู่แล้ว
“Mitsubishi” คือแกนนำของบริษัทเหล่านั้น, ที่ผันตัวเองมาสร้างเครื่องบินรบเต็มรูปแบบ
“Type Zero” ที่ว่ากันว่าเป็นเครื่องบินรบในตำนานของญี่ปุ่นเองก็ผลิตโดย Mitsubishi เช่นกัน
และยังมีรถถัง รถไฟ ปืนใหญ่ อาวุธมากมาย
ที่แสดงให้เห็นว่าสมัยนั้น ญี่ปุ่นเหนือกว่าแม้แต่ชาติพันธมิตรแค่ไหน ?
แผนการณ์ที่ญี่ปุ่นร่วมกับเยอรมันคิดขึ้นมาก็คือการแบ่งโลกออกเป็นสองส่วน, เยอรมันคือชาติพันธุ์ชั้นสูงที่สมควรจะได้สิทธิในการปกครอง Europe ทั้งหมด
ส่วนญี่ปุ่นต้องการเป็นเจ้าของฝั่ง Asia
แม้แต่ประเทศใหญ่อย่างจีนและ Russia เองก็ยังไม่อาจต้านทานการโจมตีของอักษะสองชาตินี้
สมควรรึไม่ที่นายกฯ ญี่ปุ่นจะเดินทางมาสักการะดวงวิญญาณของทหารตน ณ Yasukuni Jinja ?
ชายชราชาวญี่ปุ่นคนนี้ก็เช่นกัน
ดูจากอายุ, น่าจะผ่าน น่าจะเห็นสงครามมาด้วยตาตนเอง
แกจะรู้สึกอย่างไรและคิดสิ่งใดอยู่ เมื่อได้ดูซากแห่งความทรงจำใน Yasukuni ?
ยิ่งในเวลาที่ญี่ปุ่นกำลังเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุ” เต็มรูปแบบ, สวนทางกับจีนแผ่นดินใหญ่ ที่เหมือนวัยรุ่น ท้ารบกับสารพัดชาติทั่ว Asia ลามไปถึงฝั่ง Europe และ America
ช่วงที่นายกฯ Shinzo Abe มาสักการะศาลเจ้ายาสุคุนิสิ้นปีก่อน, ผมอยู่ที่ Sendai
ได้เห็นกลุ่มคนชราออกมาเดินขบวนถือป้ายประท้วงว่า อย่าให้ญี่ปุ่นกลับเข้าสู่สงครามอีกเลย
เราต้องการสันติ เราอยากมีชีวิตที่สงบ และเพื่อลูกหลานของเราด้วย
ด้านหลังของศาลเจ้ายาสุคุนิก็ยังมีสวนหินและบ่อน้ำเล็กๆ ที่มีปลาโค่ย [Koi] ว่ายอย่างสงบ
ผมก็ไม่มีคำตอบเหมือนกันครับ
ว่าการมาเยือนศาลเจ้ายาสุคุนิของนายกฯ ญี่ปุ่นเป็นเรื่องที่ถูกต้องรึไม่ ?
Shinzo Abe ให้สัมภาษณ์ว่า ตัวเขาไม่ได้เห็นด้วยกับสงคราม แต่ดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตที่นี่ก็คือทหารที่ปกป้องชาติญี่ปุ่น ให้อยู่มาจนถึงทุกวันนี้, ดังนั้นเขาจึงมาเพื่อแสดงความเคารพ
ก่อนกลับ ผมก็สังเกตเห็นช่อดอกไม้และกล่องที่วางอยู่หน้ารูปปั้นแม่และเด็กผู้สูญเสียหัวหน้าครอบครัว
มันมี “จดหมายถึงพระเจ้า” ที่ใครสักคนคงเอามาวางไว้
ข้อความในนั้นคือการอ้อนวอน ขอให้สันติภาพจงมีแด่โลกใบนี้, ไม่ใช่เพียงแค่ญี่ปุ่น…
มีคำกล่าวว่า มนุษย์เราไม่เคยต้องการสงคราม, แต่มักจะนึกได้ก็ต่อเมื่อการนับศพจบลง
นี่ละครับคือ “ญี่ปุ่นที่ทุกคนคุ้นแต่คุณก็ไม่เคยไป ภาค 2 : ศาลเจ้ายาสุคุนิ [Yasukuni]“, ใครที่มาเที่ยวญี่ปุ่นบ่อยจนไม่รู้จะไปไหนดี ก็น่าจะลองแวะมาที่นี่สักหนนะครับ :)