Special : "How to สร้างตัวตนออนไลน์ให้ชีวิตและธุรกิจด้วย Social Media !"
จากที่ตั้งใจจะอยู่ใน Busan แค่ 2 คืน, ตอนนี้ผ่านไป 5 วันแล้ว…
แน่นอนว่าผมยังอยู่ระหว่างการ Backpack ไป “เกาหลีญี่ปุ่นรัสเซีย” บนเส้นทางรถไฟสาย Trans Siberian, ปัญหาคือตอนนี้ผมหลงเสน่ห์เมืองชายทะเลเกาหลีที่ชื่อ “ปูซาน [Busan]” จนไม่รู้ว่าจะได้ขึ้นเรือต่อไป Vladivostok เมื่อไร ?
เมื่อเทียบกับเมืองหลวงอย่าง Seoul, Busan มีคนไทยน้อยกว่า
ในช่วงเวลา 5 วัน, ผมไม่เจอคนไทยเดินตามถนนหรือร้านกาแฟ
แต่จริงๆ เมืองนี้ไม่ไกล, นั่งรถไฟความเร็วสูง [KTX] จาก Seoul ใช้เวลา 3 ชั่วโมงและมีบัตร One Day Pass ด้วย !
4500 Krw, หรือก็คือ 135 บาท
สามารถนั่งรถไฟใต้ดินได้ไม่จำกัด [ถ้าซื้อตั๋วเป็นครั้งจะตกที่ 1300 – 1500 วอน]
ดังนั้นแนะนำให้ตื่นแต่เช้า…
ซื้อตั๋ว “One Day Metro Pass” แล้วออกเดินทางรอบๆ เมือง Busan ได้ตลอด 24 ชั่วโมง !
และผมก็ไป Copy แผนการเที่ยวมาจาก Website ของ Backpacker ต่างประเทศท่านหนึ่งที่ Plan การเที่ยวเมือง Busan แบบ One [or 2] Day ไว้อย่างดีเยี่ยมดังภาพ, หรือจะไป Download แผนที่ขนาดใหญ่ก็ได้ใน
https://rubbisheatrubbishgrow.files.wordpress.com/2013/12/busan-subway-map.jpg
แล้วผมก็ย่อมาเป็น 4 สถานีรถไฟใหญ่ที่เราควรแวะไป, หากมีเวลาใน Busan แค่ 1 วัน
1. Jagalchi & Nampo
สองสถานีติดกันในระยะเดินไม่ถึง 10 นาที และระหว่างทางก็มีอะไรให้ดูตลอด
ส่วนตัวผมนั่งเรือมา Busan ครั้งนี้ก็ตั้งใจจะไป “Jagalchi” ซึ่งก็คือ “ตลาดปลาใหญ่ที่สุดในเกาหลี” เป็นที่แรกและก็ไม่ผิดหวังจริงๆ เพราะ Busan คือเมืองท่าหลักมาตั้งแต่อดีต, อาหารทะเลที่นี่จึงมีดีมากกว่าที่ Seoul ด้วยซ้ำ
เราสามารถเดินดูหรือชี้ปูปลาจากแม่ค้าแล้วสั่งปรุงสดๆ ณ แผงขาย
และที่แปลกมากอีกอย่างก็คือเมื่อเราข้ามถนนจากฝั่งตลาดปลา, มันจะกลายเป็นย่าน BIFF Square
[ย่อมาจาก Busan International Film Festival, งานเทศกาลหนังใหญ่แห่งหนึ่งของโลก]
แถวนี้ก็มีร้านอาหารขายกัน 24 ชั่วโมง, พร้อมแหล่ง Shopping เครื่องสำอางและโรงแรมกับ Hostel
2. Haeundae [+ Gwangan]
สถานีชายหาดใหญ่ที่คนในเกาหลีชอบมากันช่วงวันหยุด, ยิ่งตอนนี้เป็นหน้าร้อนก็จะมีทั้ง Beer Garden / งาน Festival และสาวญี่ปุ่นเกาหลีใส่ Bikini เดินกันเต็มชายหาด [เพราะผมนั่งเรือข้ามมาจาก Fukuoka ใช้เวลาแค่ 2.55 ชั่วโมง]
เป็นอะไรที่ดี, กับการมีทะเลอยู่ใกล้เมืองในระยะนั่งรถไฟฟ้าไม่กี่นาที
และแถวหาดแฮอึนแด [Haeundae] ก็ยังมีพวกโรงแรม 5 ดาวกับ Casino มากมาย
ร้านอาหารในแนวปิ้งย่างเกาหลีก็เยอะ [ผมเองก็นั่งปิ้งหมูปิ้งเนื้อห่อผักริมหาดกับคน Local ที่นี่ :)]
แต่ถ้าหาด Haeundae คนเยอะไป, ก็อาจนั่งรถไฟไปอีกสถานีที่ชื่อ Gwangan ที่มีชายหาดเหมือนกัน
ทว่า ใกล้ตัวเมือง Busan มากกว่าและ Gwangan ยังมีสะพานประดับไฟแสนสวยในเวลากลางคืนด้วย
3. Seomyeon
[ผมอ่านว่า “สามย่าน”, บรรยากาศเหมือนบ้านเราแถว Siam Square อีกต่างหากเพราะว่ามันเป็น Shopping Street ที่ใหญ่สุดใน Busan และก็มีร้านอาหารมากมายตั้งแต่รถเข็นหลังโรงแรม 5 ดาวอย่าง Lotte Hotel ไปจนถึง English Pubs]
โดยเฉพาะสาวๆ ที่อยากมาหิ้วเครื่องสำอางเกาหลีกลับไทย, มี “Beauty Town” แยกให้อีกหนึ่งถนน
จะเรียกว่า Seomyeon ก็คือเมียงดง [Myeongdong] ใน Seoul ก็ไม่ผิด
และ Seomyeon Station ก็ยังเป็นสถานีตัดกันของรถไฟฟ้าสายหลัก 2 เส้น
ร้านอาหารและ Coffee Shop แถวนี้เปิดกัน 24 ชั่วโมง, แต่คนก็ค่อนข้างเยอะมากจนวุ่นวาย…
สุดท้ายผมก็เลยย้ายที่พักไปแถว Jagalchi, นั่งมองท้องฟ้าและทะเลจนอยากจะออกเรือหาปลาเลยครับ
4. Busan Station
เช่นเดียวกับ Tokyo Station, มันก็คือท่ารถไฟใหญ่สำหรับเดินทางไปยังเมืองต่างๆ และเราก็สามารถนั่งรถไฟความเร็วสูงที่ชื่อ KTX ไปยัง Seoul ได้ในเวลาแค่ 3 ชั่วโมงจากสถานีนี้ [ถ้ามาจาก Seoul ก็ลงที่นี่เช่นกัน]
ตั๋วรถไฟ KTX จะอยู่ราว 53900 – 58600 วอน, คิดเป็นเงินไทยก็ 1600 – 1800 บาท
แต่ถ้านั่งรถไฟความเร็วต่ำธรรมดาก็ลดครึ่งราคา, เหลือ 850 บาท [28000 Krw]
Check ตารางเวลาและจองตั๋วรถไฟ Online ได้ที่ www.letskorail.com/ebizbf/EbizBfTicketSearch.do
และข้างๆ สถานีก็ยังมีท่าเรือ [Busan Port] สำหรับนั่งไปญี่ปุ่น, สู่เมือง Osaka & Fukuoka
อย่าลืมว่าคนไทยสามารถไปเที่ยวได้ทั้งเกาหลีและญี่ปุ่นแบบ No Visa, คุ้มค่าครับถ้าจะไปแบบ Trip เดียวกัน
การเดินทางในเมือง Busan, ผมว่าง่ายกว่าเมืองหลวงอย่าง Seoul เพราะที่นี่มีรถไฟใต้ดินแค่ 4 สายแต่ก็ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่และ Busan ก็เป็นเมืองใหญ่ที่น่าอยู่ ด้วยจำนวนประชากรน้อยกว่า Seoul สามเท่า
[Busan มีคนอยู่ราว 3.5 ล้านคน, Seoul มีมากกว่า 10 ล้านคนในพื้นที่ใกล้กันคือ 600 -700 km²]
เราจึงไม่ต้อง “แย่งกันกินแย่งกันอยู่” ในเมือง Busan
นอกจากนี้, ที่ Busan ยังมีอาหารทะเลอุดมสมบูรณ์กว่า เพราะว่าเป็นเมืองท่ามานาน
และ Busan ก็ยังมีสนามบินของตัวเองที่ชื่อ “กิมแฮ [Gimhae Airport]” ซึงอยู่ไม่ไกลตัวเมืองด้วย
ทางรัฐบาลเกาหลีจึงพยายาม Promote เมืองนี้ในฐานะ “เมืองแห่งสีสันและวัฒนธรรม”
เรียกว่า “วาง Position” และ “จุดขาย” ให้ต่างไปจาก Seoul ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ในแบบธุรกิจนั่นเอง
ส่วนอาหารที่พลาดไม่ได้ในเมือง Busan ก็คือร้านไก่ผัดซอสเกาหลีกระทะร้อนที่ชื่อ “Yoogane“, แม้ร้านนี้จะมีสาขากระจายไปทั่วประเทศรวมทั้งใน Seoul [และกรุงเทพฯ :)] แต่ “สาขาแรก” ของ Yoogane ก็อยู่ที่ Busan
ถ้ามาถึงบ้านเกิดทั้งที, ก็น่าจะลองแวะทานดู [ข้างสถานี Seomyeon ก็มีหนึ่งร้าน]
และอาหารที่พลาดไม่ได้อีกอย่างก็คือ Seafood จากตลาดปลาจากัลชิ [Jagalchi]
แต่ถ้าชอบ Street Food, แถว BIFF มีร้านรถเข็นให้เลือกซื้อแล้วยืนกินจนถึงเที่ยงคืน
เรื่องที่พัก, Busan ก็มีตั้งแต่โรงแรม 5 ดาวอย่าง Lotte Busan ไปจนถึงม่านรูด [Motel] และ Hostel
เพราะ Busan วางตัวเองเป็น “เมืองแห่งวัฒนธรรม”, จึงมีนักท่องเที่ยวและ Backpacker ค่อนข้างมาก
แต่สำหรับคนไทย, อาจยังใหม่และไม่เป็นที่รู้จักเท่ากับ Seoul
แต่คุณ Cookie the Backpacker กลับรัก Busan มากกว่า Seoul, เช่นเดียวกับที่ผมชอบ Sendai / Sapporo และ Shizuoka มากกว่าเมืองหลวง Tokyo ซึ่งก็คงเพราะว่ามันคือ “เมืองใหญ่” ในแบบ “Slow Life“
ได้เวลาขึ้นรถไฟไป Seoul แล้ว, จากนั้นผมจะขึ้นเรือ Ferry อีกที เพื่อไปยัง Vladivostok ของ Russia…