Special : สมัครบัตร Amex วันนี้ฟรีตั๋วชั้นธุรกิจสู่ญี่ปุ่น 4 ใบ ! > "Click"
--------------------------
ผมไม่เคยขี่มอเตอร์ไซค์, ถ้าไม่นับ Scooter คันเล็กๆ จากญี่ปุ่นที่ “บิดอย่างเดียว”
และจริงๆ ส่วนตัวผมก็แทบจะไม่ค่อยขับรถอยู่แล้วด้วยซ้ำเพราะไม่ชอบถนนเมืองไทย
จนเมื่อวันก่อน, เอารถไปเข้าศูนย์แล้วเจอ “BMW Motorrad” หรือภาษาไทยคือ “BMW BigBike” สีน้ำเงินคันนี้เข้า !
คุณพนักงานสาวแสนสวย [BMW สวยทุกคน] ส่งยิ้มให้หนึ่งทีแล้วถามว่า “สนใจเอากลับไปขี่เล่นไหมคะ ?”, ผมเลยตอบนางกลับไปว่า “ขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เป็นครับ [นี่ก็จริงใจเกิน !]” ต่อด้วย “และผมก็แก่เกินจะหัดขี่มอเตอร์ไซค์แล้วละครับ”
พูดประโยคนี้จบ, เราสองคนก็ขำแล้วผมก็ได้ BMW Motorrad กลับบ้านมาหนึ่งคันด้วยเหตุผลว่า…
“มันเป็นปีที่แย่มากของผม”
หมายถึงปีที่แล้ว, หรือถ้าเอาจริงๆ ก็คือช่วงปีสองปีที่ผ่านมา
และถ้าเอาจริงๆ กว่านั้นก็คือ “ทุกอย่างมันอยู่ตัวดี”
แต่นั่นคือปัญหา, ผมว่ามันคล้ายๆ กับคนที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้วก็เลย [Early] Retired ตัวเองออกมาโดยคิดว่า “มี Passive Income พอประมาณแล้ว” จากอสังหาฯ และงานอดิเรกต่างๆ [การเขียน Blog สำหรับผมคืองานอดิเรก]
ทุกอย่าง “นิ่ง”, ตื่นเช้ามาก็ขี่จักรยานไปร้านกาแฟใกล้ๆ บ้าน / เปิด Macbook ทำงาน [ที่จริงๆ ไม่มีสาระอะไร] / ไปเดิน Supermarket หาสินค้าใหม่ๆ [ที่ก็ไม่รู้จะหาไปทำไม] แล้วก็กลับบ้านเล่นกับน้องแมวโดยที่ไม่มีอะไรตื่นเต้นเกิดขึ้นเลยในหนึ่งวัน !
[จะบอกว่า “ไปเที่ยวรอบโลกสิ”, ผมก็แบกเป้มาเยอะจนเริ่มอิ่มตัวแล้วเหมือนกัน]
ถึงจุดหนึ่ง, เริ่มเข้าใจนิดๆ ว่าทำไมคนญี่ปุ่นที่ Retired ตัวเองออกมาอยู่บ้านเฉยๆ ถึงยิ่ง “เครียด” หนักขึ้น
สุดท้ายไม่กลายเป็นบ้าก็รู้สึกหมดคุณค่า, โดยเฉพาะกับคนที่ “ทำงานมาทั้งชีวิต”
เป็นหนึ่งปีที่ผมแทบไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ
ขนาดจะ Backpack, ก็ยังเริ่มไปแต่ Asakusa [นอนก็นอนบ้านคุณน้องสาวที่ Tokyo] แล้วทุกเช้าก็เดินไปร้านกาแฟใกล้ๆ / เปิด Macbook ทำงาน [ที่จริงๆ ไม่มีสาระอะไร] ก่อนจะจบวันด้วยการไปเดิน Supermarket เพื่อให้มัน “หมดๆ วันไป”
ลึกๆ ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเอง “แก่”, แต่ระดับอาการเลวร้ายกว่าคนทั่วไปประมาณล้านเท่า
เพราะผมอยู่ในวงการ iT & Digital ที่มีสิ่งเกิดใหม่ทุกวัน, มันเหมือนมองโลกวิ่งผ่านเราไปด้วยความกดดันลึกๆ ในใจ
พอผมแซวตัวเองกับคุณพนักงานไปว่า “ผมแก่เกินจะหัดขี่มอเตอร์ไซค์แล้ว !”
ผมก็ตัดสินใจทันทีเลยว่า “ผมควรจะหัดขี่มอเตอร์ไซค์ !”
และก็มีหลายสิ่งที่ผมเพิ่งจะรู้จริงๆ เกี่ยวกับ BMW Motorrad เช่น
1. BigBike ที่ถูกที่สุดของ BMW Thailand, ราคาไม่ถึงสองแสน !
2. ความจุกระบอกสูบของ G310 Series ก็อยู่ที่ 310 cc ตามชื่อของมัน, โดย G310 Series ทั้งสองรุ่นอย่าง G310r & G310gs ต่างก็มีขนาดเล็กกะทัดรัดเหมาะสำหรับขี่ซอกแซกในเมืองและน้ำหนักของ G310 Series ก็อยู่ที่ราว 150 kg เท่านั้น
3. ด้วย cc เท่านี้, จึงมี Drama มากมายว่า “มันคือมอเตอร์ไซค์ธรรมดา” หาใช่ Bigbike ไม่
4. แต่พนักงานสาวที่ผมคุยด้วยบอกว่า “มันคือ Mini Bigbike ค่ะ !”
[ฟังแล้วก็นึกถึงร้าน Mini BigC…]
5. อย่างที่คุ้นเคยกันดี, “รถมอเตอร์ไซค์” ของ BMW เรียกว่า “Motorrad”
6. และ BMW Motorrad ทุกรุ่นก็ผลิตใน Berlin, Germany
7. จะมีก็แต่ G310 Series, ที่ย้ายฐานมา India… [ผลิตไปกินโรตีไป]
8. ประวัติของ BMW Motorcycle หรือ BMW Motorrad เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1923, เรียกว่าอยู่มานานคู่กับบริษัท BMW ในแผนกรถยนต์ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1916 และก็แน่นอนว่าจุดเริ่มต้นของ BMW คือผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินรบ !
[บริษัทรถยนต์ใหญ่ๆ ที่อยู่มานานทั้งฝั่ง Germany & ญี่ปุ่นมักจะเกี่ยวข้องกับสงครามโลกเช่น Mitsubishi]
9. Motorrad อ่านว่า “โมโตราด”, ไม่ใช่ “มอเตอร์แรด…”
10. รากศัพท์ของ Motor, จริงๆ แปลว่า “เครื่องยนต์ [Engine]”
11. และ Rad ก็คือ “ล้อ [Wheel]”
12. ความสูงของเบาะ G310 Series อยู่ที่ 78 cm
13. ที่เขียนนี่เพื่อจะบอกว่าผม, ซึ่งสูง 170 cm ขึ้นไปขี่แล้ว “ยืนถึงพื้นแบบเต็มฝ่าเท้าทั้งสองพอดี” และการที่ “อย่างน้อยเท้าสองข้างก็แตะถึงพื้น” มันก็น่าจะปลอดภัยกับชีวิตผมซึ่งเคยขี่เต็มที่ก็แค่จักรยาน [แถมมากับรถ BMW นั่นแลฯ] ที่สุดแล้ว
14. อีกหนึ่งสิ่งใหม่ที่ผมไม่เคยรู้เกี่ยวกับการออกรถที่ BMW Thailand ก็คือ “รูดบัตรได้นะคะ”
15. คุณพนักงานสาวแสนสวยแจ้งว่า “[ถ้าวงเงินถึงก็] จ่ายด้วย Credit Card ได้เต็มราคารถเลยค่ะ”
16. อยาก Share ลง Blog ไว้เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อท่านอื่น [โดยเฉพาะ Freelance แบบผมที่กู้ทั้งบ้านทั้งรถไม่เคยผ่าน] เพราะเคยเห็นคนตั้งกระทู้ใน Pantip ว่า “ซื้อ BigBike รูดบัตรเต็มราคาได้ไหม ?” และ 99% ของ Comments ก็ตอบว่า “ไม่ได้”
17. ด้วยเหตุผลว่า “ร้านไม่ยอมขายหรอก”
18. หรือไม่ก็ “ถึงได้ก็โดน Charge เพิ่ม 3% บ้าง 5% บ้าง 7% บ้าง”
19. แต่ศูนย์ BMW ไม่บวกเพิ่มใดๆ, “จะซื้อพวก S1000 Series ที่ราคาล้านกว่าบาทก็รูดได้ค่ะถ้าวงเงินถึง”
[วงเงินถึงแต่ขาก็ไม่ถึงอยู่ดี…]
20. สำหรับ G310 Series, เป็นรุ่นที่เล็กที่สุด [แถมยังถูกที่สุด] ของ BMW Motorrad
21. G310r ราคาก็เริ่มต้นที่ 199900 บาท, ส่วน G310gs จะแพงขึ้นอีกหมื่นนิดๆ
22. รูดแล้วได้มอเตอร์ไซค์มาหนึ่งคันกับตั๋วเครื่องบินไปกลับญี่ปุ่นอีกหนึ่งใบ [by UOB Privimiles & Cathay Pacific], ใครที่ยังขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เป็นหรือไม่มั่นใจว่าจะคุมรถระดับ Bigbike ได้ก็สามารถแจ้งทาง Showroom ให้ “ส่ง” ถึงบ้านด้วยรถกระบะ
Update : นรกหลังลองขี่ BMW Motorrad จริงๆ จังๆ ได้สองวัน
23. เข้าใจแล้วว่าทำไมเวลาคนขี่ BigBike ล้มถึงได้ “ขาหัก”
24. และทำไมถึง “ตาย” ทั้งที่อาจไม่ได้ใช้ความเร็วสูงมากมาย [เท่าเวลาขับรถยนต์]
25. เพราะ “น้ำหนักรถ” คือปัญหา, โดยเฉพาะสำหรับคนไทยที่ขาดทั้งความสูงและกำลังแขน
26. ยิ่ง BigBike มาพร้อม “กำลังเครื่องยนต์”, แค่บิดนิดเดียวมันก็ ”พุ่ง” ไปข้างหน้า
27. รู้ตัวอีกทีก็หงายหลังลงมานอนเอ๋อที่พื้นหรือไม่ก็ถูก “ทับ” โดยเหล็กตันๆ ที่หนักร้อยกว่าๆ ถึงสองร้อยโลฯ
28. ระหว่างที่นั่งงมหาวิธีขี่ BigBike ด้วยตัวเอง, ผมเจอ Bloggers และ Youtubers สายซิ่งจำนวนมากที่ยืนยันว่า “เท้าไม่ถึงพื้นก็ขี่ BigBike ได้ !” ซึ่งก็จริงถ้ารถมันกำลังวิ่งด้วยความเร็วประมาณหนึ่งจน “อยู่ตัว” ตามหลักแรงหนีศูนย์กลาง
29. แต่ชีวิตจริงไม่ใช่, โดยเฉพาะใครที่กำลังคิดจะออก BigBike มาขี่ในกรุงเทพฯ เขตสุขุมวิท
30. ทุกๆ สองวินาทีต้องชลอแล้วก็เบรคพร้อมๆ กับประคองน้ำหนักร้อยกว่าสองร้อยโลที่ความเร็วต่ำๆ [ซึ่งยากกว่าที่ความเร็วสูง, นี่ก็ตามหลักแรงหนีศูนย์กลางอีกเช่นกัน] และมันเสี่ยงมากหาก “เท้าทั้งสองข้างแตะไม่ถึงพื้น [แบบไม่ถึงจริงๆ]”
31. หรือถึงไม่เสี่ยง, ก็เหนื่อยสังขารสุดๆ เพราะ BigBike ที่วิ่งช้าๆ มันจะเพิ่มความร้อนเป็นทวีคูณณณณณ
32. และถ้าเกิด Accident ให้ต้องประคองตัวรถขึ้นมา, น้ำหนักร้อยกว่าโลบนถนนเมืองไทยที่แดดร้อนนรกก็ไม่ใช่เรื่องตลก
33. ผ่านไปสองวัน, ผมก็เริ่มขี่ BMW Motorrad คันนี้รอบหมู่บ้านครึ่งชั่วโมงได้โดยรถไม่ดับ
[แม้จะขี่มอ’ไซค์ไม่เป็นแต่ผมขี่จักรยานมาแปดปีในสิบสี่ประเทศ, เป็นอะไรที่ช่วยได้เยอะมาก]
34. แต่ถ้าวันหนึ่งมีลูกมีหลานแล้วมันอยากได้ BigBike, ผมคงตบหัวมันกระเด็นด้วยความรักและความเป็นห่วง
35. กลับไปอ่านข้อ 23 และ 24
36. ผมเคยขับรถยนต์ที่ความเร็วสูงสุดๆ คือเกือบ 300 Kmph, แน่นอนว่าบน Autobanh ใน Germany
37. การที่ผมกล้า “เหยียบ” ขนาดนั้น, มันไม่ใช่แค่พลังเครื่องยนต์
38. แต่ผมต้อง “โคตรอภิมหามั่นใจ” ในคุณภาพถนนและคุณภาพประชาชน German เพราะถ้าคนขับคันข้างหน้าเมาแอ๋แล้วเปิดกระจกปากระป๋องเบียร์ [ขนาด 1 ลิตร…] ออกมา, โดนกระจกหน้ารถผมที่ความเร็ว 300 Kmph กว่าๆ คือตายสถานเดียว
39. แต่ถนนเมืองไทย, การที่คันหน้าเปิดกระจกดีดขี้บุหรี่ใส่คันหลังคือเรื่องธรรมดา
40. เกิดอะไรขึ้นมาก็ “ตายฟรี”, เผลอๆ จะมีคนเยาะเย้ยซ้ำด้วยว่า “สมน้ำหน้า”
41. สำหรับความเร็วขั้นสุดของ BMW G310r คันนี้ก็อยู่ที่ 165 Kmph
42. เร็วและแรงพอที่จะแซงรถทุกคันบนถนน, โดยที่ผมบิดคันเร่งแค่นิดๆ
43. แต่ที่ซื้อ G310r นี่, คิดมาก่อนแล้วว่าจะใช้แค่ขี่ไปกิน Starbucks ในซอยแถวบ้าน
44. ที่ความเร็วไม่เกิน 30 Kmph, เพราะซอยบ้านผมมี 3 โรงเรียน
45. นอกเรื่อง [จริงๆ นี่ก็นอกเรื่องแทบทั้ง Blog], ผมเคยเห็น BigBike คันเท่าบ้านหยุดรถแล้วโบกมือให้เด็กๆ ข้ามทางม้าลายที่ Germany และผม [ซึ่งมาจากประเทศโลกที่สามที่เวลาหยุดตรงทางม้าลายจะโดนคันหลังกดแตรด่า] ก็รู้สึกว่าเขา “เท่มากกกก”
46. ผมอยากเป็นคนขี่ BigBike แบบนั้น
47. ไม่ใช่แค่คุณภาพรถระดับ German, คุณภาพคนขับก็ระดับ German
[แม้รถคันนี้จะผลิตที่ India ก็ตาม…]