Special : "How to สร้างตัวตนออนไลน์ให้ชีวิตและธุรกิจด้วย Social Media !"
Kitaohji Bangkok คือจุดเริ่มต้นของความอยากทาน Kaiseki ที่ญี่ปุ่น และเมื่อ Week ที่แล้วผมก็ได้ไปลอง “Nihonbashi Yukari” ที่เปิดมานานเกือบร้อยปี, ข้างๆ หลักกิโลเมตรที่ศูนย์ของกรุง Tokyo โดยจ่ายไป 29800 Yen…
วันนี้อยากเปลี่ยนแนวใหม่, พอดีผมพัก Hostel [ถูกนรก] คืนละ 2000 Yen [539 บาท !] แถว Asakusa
และก็ผ่านไปเห็น “Asakusa Mugitoro [浅草むぎとろ]” ที่มีคน Review ว่าเป็น “Healthy Kaiseki”
ทานแล้วสุขภาพดี, สาวญี่ปุ่นที่สวยอยู่แล้วก็จะสวยยิ่งขึ้น เพราะใช้แต่วัตถุดิบเพื่อความงาม
และราคา Kaiseki ของ Asakusa Mugitoro ก็ไม่ได้แพง, แถมมีวิว Sakura ให้ชมจากหน้าต่างชั้น 2 !
ลูกค้า 9 ใน 10 โต๊ะที่ผมเจอใน Asakusa Mugitoro วันนี้ก็เป็นผู้หญิง, ทั้งมาเป็นกลุ่มใหญ่ๆ และมาทานกับเพื่อนสาว 2 คน โดยโต๊ะติดกระจกบานใหญ่ชั้นสองอาจต้องจองล่วงหน้าถ้าใครอยากนั่งละเลียด Kaiseki แกล้ม Sakura
ซึ่งก็ไม่ผิดอะไร…
เพราะเดิมที, ประวัติของ Kaiseki ที่ถือกำเนิดขึ้นใน Kyoto เมื่อ 1420 ปีก่อนนั้น ก็คือ “พิธีชงชา”
ความอ้อนช้อยเชื่องช้าและการชมความงามของธรรมชาติ
Sakura นั้นมีช่วงชีวิตที่แสนสั้น, ชาวญี่ปุ่นจึงให้ความสำคัญกับการบานสะพรั่งของมันอย่างมาก
Asakusa Mugitoro [浅草むぎとろ] มีข้อดีอีกอย่างนอกจากราคาไม่แพง, คือไม่จำเป็นต้องจองล่วงหน้า
ผมเองเดินผ่านหน้าร้านแล้ว Walk In เข้าไปเลย, ต่างจากร้าน Kaiseki ราคาสูงๆ ที่อาจถึงขั้น “ไม่รับลูกค้าใหม่”
Asakusa Mugitoro Kaiseki เป็นแบบง่ายๆ จริงๆ, สังเกตจาก Menu ช่วงกลางวัน เพราะใครที่มีงบไม่มากก็สามารถมาทาน “Mugitoro Buffet” ตอนเที่ยงถึงบ่ายได้ด้วยในราคาเพียง 2000 Yen [530 บาท]
เพราะอาหารขึ้นชื่อของ Asakusa Mugitoro คือ “Mugi [むぎ]” และ “Tororo [とろろ]”
หรือก็คือ “ข้าวบาร์ลีย์ [Barley Rices]” กับ “มันภูเขาบด”
ซึ่งสาวญี่ปุ่นถือว่า 2 สิ่งนี้คือ “อาหารเพื่อสุขภาพ”
จ่าย 2000 Yen, ทาน 2 อย่างนี้พร้อมกับแกล้มอย่างอื่นได้ไม่อั้น
และ Asakusa Mugitoro ก็ยังมีอาหาร Set แบบที่เราคนไทยคุ้นกับดี อาทิข้าวหน้า Salmon ย่างราคา 3 พันเยน
ที่แปลกคือ Menu ทุกอย่างของร้าน Asakusa Mugitoro เป็นภาษาอังกฤษ ยกเว้น…
“Kaiseki”
มีกระดาษสา 1 ใบ, เขียนว่า Kaiseki มีทั้งหมด 4 Sets
เริ่มตั้งแต่ราคา 7000 Yen คือชุดหงส์ขาว [白鷺 / Shiratori] และชุดมังกรทอง [金龍] ที่ 9000 Yen จนถึงชุดใหญ่สุดคือ Omakase [ตามใจ Chef] ในราคา 15000 Yen แต่ทั้งหมดนี้จะมี “Mugi” และ “Tororo” เป็นวัตถุดิบหลัก
ส่วนเครื่องปรุงรองก็จะเป็นอาหารตามฤดูกาล, แนวคิดแบบญี่ปุ่นแท้ๆ เช่นเคย
ผมเอง Walk In เข้ามาแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้, ก็เลยสั่งชุดราคากลางๆ อย่าง “มังกรทอง”
ส่วน Menu ของร้าน Asakusa Mugitoro ก็จะมีแค่เครื่องดื่มอย่างเหล้าบ๊วย / สาเกหรือเบียร์สดเท่านั้น
แน่นอนว่ามา Asakusa ก็ต้อง “Asahi” หนึ่งแก้วครับ เพราะแถวนี้คือ Office ใหญ่ของ Asahi เขา :)
แม้ Asakusa Mugitoro จะเป็น “Kaiseki Restaurant” แท้ๆ เช่นกัน แต่บรรยากาศค่อนข้างสบายๆ กว่า Nihonbashi Yukari ที่ผมไปทานเมื่อ Week ก่อน [รวมทั้ง Kitaohji Thailand แถวทองหล่อ 8]
คงเพราะร้านนี้อยู่ในจุดที่ทัวร์และ Backpacker ต่างชาติพักกันเยอะ
และ Asakusa Mugitoro ก็ค่อนข้าง Welcome นักท่องเที่ยว, ด้วย Menu แบบ Lunch Set
[แต่จริงๆ แล้วชุด Kaiseki ก็ยังค่อนข้าง Conservative, มีแต่ภาษาญี่ปุ่น…]
ถึงอย่างนั้น, การบริการก็อยู่ในระดับสุดยอด
เห็นผมเดินถือร่มเข้ามา, ก็นำไปเก็บให้พร้อมเสื้อ Coat และโค้งคำนับทุกๆ 3 นาทีเวลาที่วางอาหารจานต่อไป
เสียดายที่ Sakura เริ่มร่วงโรยราไปแล้วเพราะว่าการมาของฝนหลงฤดู
[แต่ก็ยังมี Sakura อยู่ในอาหารทุกจานของ Asakusa Mugitoro Kaiseki, แม้จะเป็นหัวไชเท้าดองก็ตาม :)]
เริ่มจากจานแรกเป็น Appetizer เล็กๆ ที่เป็นของมงคล, เช่นกุ้งสีแดงและปลาไหลย่าง
แน่นอนว่าต้องมีมันภูเขา [Tororo] ขูดจนเหนียวใส่มาในถ้วยทรงสูง
ตามด้วยโมจิที่ใส่กุ้งสับเคี้ยวกรุบๆ กับผักชุบแป้งทอด, รวมมาในซุปใสทานง่าย ได้พลังกลับมาหลังเปียกฝน
และ Sashimi ที่ใช้ของตามฤดูกาล, แม้ปลาดิบของร้าน Asakusa Mugitoro Kaiseki อาจไม่ได้โดดเด่นเท่าไร เพราะใช้แค่ Hamachi / Toro แต่ก็ได้ความสดชื่น โดยไม่ต้องจิ้มโชุหรือแตะวาซาบิเลยแม้แต่นิด
ก่อนจะเป็นของทอด, ก็คือมันภูเขาอีกเช่นกัน แต่ห่อด้วยสาหร่ายบางๆ
และของย่างที่เป็น Salmon โรยเกลือภูเขาคู่กับอกเป็ดที่วางมาข้างๆ มะนาว Lemon
Kaiseki ของ Asakusa Mugitoro อาจไม่ได้เน้นของแพงแบบที่คนไทยเรารู้สึก, อย่างพวกปูหิมะหรือ Ootoro แต่ทุกอย่างใส สว่าง ได้รสแห่งธรรมชาติจริงๆ และเข้าใจถึงความหมายของสุขภาพดีตามตำรับ Kyoto
ปลาไทห่อด้วย Cheese ต้มมาในหัวไชเท้าขูดฝอย
มีจานนี้นี่ละครับที่เข้มข้นสุดๆ
ต่อด้วยปลาไหลทะเล [Anago] ตุ๋น, ด้านล่างมีไข่นุ่มๆ ฟูๆ อีกหนึ่งก้อน
ก่อนจะปิดท้ายมื้อ Kaiseki ด้วยของหนักซึ่งเลือกได้ 2 แบบระหว่าง “Matcha Soba” หรือ “ข้าวบาร์ลีย์ [Mugi]
Healthy Kaiseki ทั้งคู่ แต่ผมไม่อยากอัดข้าวสวย…
ก็เลยเลือก “โซบะชาเขียว” แบบนวดมือ, และก็แน่นอนว่าต้องมีมันภูเขา [Tororo] ขูดใส่มาในถ้วยด้วย :)
อิ่มเกิน 100%, ถึงจะบอกว่า Kaiseki มาเป็นแค่จานเล็กๆ ก็ตาม
[Matcha Soba & Tororo นี่ผมทานไม่หมดด้วยซ้ำ…]
ปลาไหลทะเลของ Asakusa Mugitoro ไร้กลิ่นคาว, ใครที่เคยกลัวอาหารชนิดนี้รับรองว่าทานได้ครับ :)
แต่กลายเป็นว่าในทุก Menu ของ Kaiseki มังกรทองที่ดูแล้วมีราคาแพง, สิ่งที่ผมชอบสุดกลับเป็นเส้นโซบะชาเขียวที่ทาง Asakusa Mugitoro นวดด้วยมือทุกวัน และใส่มันภูเขาขูดกลิ่นหอมๆ พร้อมวาซาบิอีกนิด
ให้สัมผัสของท้องฟ้า ทุ่งนาและสายลม
ชีวิตควรจะง่ายดายเช่นนี้, ระหว่างที่มองความเป็นไปไม่เที่ยงแท้ของโลกผ่านดอก Sakura
ทัวร์ไทยหรือใครที่มาเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองและพักแถว Asakusa, น่าจะลองแวะมาทานสักครั้ง
จากสถานีรถไฟใต้ดิน Asakusa, เดินผ่านหน้าไปรษณีย์มาอีกแค่ 1 นาที [จุดสีฟ้ากลมๆ บน Google Maps คือที่ตั้งของร้าน Asakusa Mugitoro Kaiseki] และห่างจากวัด Sensoji ในระยะไม่ถึง 5 นาที
ไม่ว่าจะเป็นคนไทยที่อยากลอง Kaiseki สักหน
หรือใครที่อยากชม Sakura พร้อมมองท้องฟ้ากว้างๆ และทานอาหารญี่ปุ่นแท้ๆ
และแม้แต่คู่รัก, Asakusa Mugitoro Kaiseki ก็ Romantique มากเกินพอ…
หากงบไม่มากมายแต่อยากได้บรรยากาศ, ก็มาตอนกลางวันแล้วสั่ง Lunch Set ในราคาไม่เกิน 3000 Yen
[รวมทั้งคนที่กำลังฝึกกินจุ, Asakusa Mugitoro ก็ยังอุตส่าห์มี “Mugi & Toro Buffet 2000 Yen” ให้อีก !]
ภาพทั้งหมดใน Review นี้ก็ยังคงถ่ายด้วยกล้อง iPhone 6 from New York ของผมเช่นเคยครับ :)