Special : สมัครบัตร Amex วันนี้ฟรีตั๋วชั้นธุรกิจสู่ญี่ปุ่น 3 ใบ ! > "Click"
--------------------------
Blog นี้เขียนที่ Starbucks Ginza, แน่นอนว่าผมยังอยู่ระหว่างการมา “หิ้ว iPhone 6S สีชมพู” [แต่ดูเหมือนว่าผมจะอยู่ญี่ปุ่นนานเกินไปจนมีข่าว Confirm ว่า iPhone 6S เครื่องศูนย์กำลังจะ “เข้าไทย” แล้ววันที่ 30 Oct 2015 นี้]
จากหน้าประตู Starbucks Ginza, สามารถมองออกไปยัง Apple Store สาขาแรกได้…
และผมก็มักจะใช้ “ร้านกาแฟ” เป็นฐานทัพในการเขียน Blog [รวมทั้งใช้วางแผนต่อเวลา Backpack แล้วหลงทาง]
ญี่ปุ่นก็เป็นอีกประเทศที่มีร้านกาแฟเยอะมาก, พร้อมปลั๊กไฟและ Free WiFi แต่บางร้านก็ไม่ Friendly กับต่างชาตินัก
ผมจึงรวบรวม “4 ร้านกาแฟที่ถูกและดี” ในประเทศนี้มาลงใน Blog !
4. Starbucks [スターバックス] : บรรยากาศดี มี Free WiFi และปลั๊กไฟ
ฉลองครบ 1000 สาขาไปเมื่อปีก่อนและตอนนี้ Tokyo ก็เป็นเมืองที่มีสาขา Starbucks มากที่สุดในโลก, ยิ่งกว่า London & New York [แต่ดูเหมือนว่าต่อให้ Starbucks Japan เปิดร้านเพิ่มแค่ไหนก็ยังไม่พอสำหรับชาวญี่ปุ่น…]
ข้อดี : รสชาติกาแฟมาตรฐานโลก / มีทั้งปลั๊กไฟและ Free WiFi แบบไม่ต้องสมัคร / ห้ามสูบบุหรี่ 100%
ข้อเสีย : ไม่มี Menu ชากาแฟแบบญี่ปุ่น [เช่น Royal Milk Tea & Blue Mountain Coffee] และลูกค้าเยอะ
ราคา : ใกล้เคียงกับ Starbucks Thailand & ทั่วโลก, เช่น Caffe Latte [12 Oz] แก้วละ 420 Yen
นอกจากนี้ Starbucks ในญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะมีห้องน้ำในตัวพร้อมและยังมักจะเปิดดึกถึง 4 ทุ่มขึ้นไป
แต่เมื่อเทียบราคากับร้านกาแฟ Chain ใหญ่รายอื่น, Starbucks ยังถือว่า “ค่อนข้างแพง” ครับ
3. Tully’s [タリーズ] Coffee : Starbucks + Japanese Style Coffee & Sandwich Set !
ราคา : ถูกกว่า Starbucks เล็กน้อย, Caffe Latte ขนาด 12 Oz อยู่ที่ 400 Yen
ข้อดี : คุณภาพและบรรยากาศใกล้เคียง Starbucks / มีทั้งปลั๊กไฟ & Free WiFi ที่ไม่ต้องสมัคร / ส่วนใหญ่มีห้องน้ำในตัวเช่นกัน / Menu แบบญี่ปุ่นก็มีเช่น Royal Milk Tea / ห้ามสูบบุหรี่ / เอาใบเสร็จในวันเดียวกันมาซื้อกาแฟลดราคาได้
ข้อเสีย : จำนวนสาขาน้อยกว่า Starbucks / ยังต้องสื่อสารภาษาญี่ปุ่นเป็นหลักกับ Baristas
ไม่น่าเชื่อว่า Tully’s เองก็เป็น Chain กาแฟจาก Seattle, เช่นเดียวกับ Starbucks
แต่มา Success ที่ญี่ปุ่นยิ่งกว่าบ้านเกิดและพักหลังก็เริ่มปรับ Menu ใหม่ๆ จนแทบจะเป็น Brand ท้องถิ่นไปแล้ว…
บางสาขามี Pasta ขายด้วย, และที่ผมชอบสุดก็คือการเอาใบเสร็จในวันนั้นๆ มาซื้อกาแฟแก้วที่สองราคา 150 Yen
2. Doutor Coffee [ドトールコーヒー] : ร้านกาแฟแบบตะวันตกรายแรกในญี่ปุ่น !
จากร้านกาแฟเล็กๆ ในเขต Harajuku เมื่อปี 1980, ปัจจุบันกลายเป็น Chain กาแฟที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
และยังคงความเป็นร้านกาแฟราคาเบาๆ ที่ทุกๆ เช้าจะมีสาว Office Lady มานั่งสั่ง Sandwich Set แกล้มกาแฟ
ราคา : Caffe Latte แก้วละ 300 Yen, Sandwich เริ่มต้นที่ 340 Yen
ข้อดี : เดินไปไหนก็เห็นเพราะ Doutor เป็นร้านกาแฟที่มีสาขาเยอะสุดในญี่ปุ่น / มี Sandwich Set & Cake Set ตลอดวัน / บรรยากาศแบบคน Local ทานกันพร้อม Menu แบบญี่ปุ่นจริงๆ เช่น Royal Milk Tea & Uji Matcha Latte
ข้อเสีย : Free WiFi ต้องสมัคร [ต้องรู้ภาษาญี่ปุ่น] / ไม่ค่อยมีปลั๊กไฟ / มักจะมีห้องสูบบุหรี่อยู่ในเขตร้านด้วย…
ส่วนตัวผมชอบเข้า Doutor ตอนสายๆ เพื่อทาน “Milano Sandwich Set B”, ไส้ Salmon & Avocado กับกาแฟดำ
1. Veloce [ベローチェ] Coffee : กาแฟดี มีปลั๊กไฟ ราคาถูกสุดในญี่ปุ่น !
ราคา : Caffe Latte แก้วละ 260 Yen, [Royal Milk Tea แค่ 250 Yen !]
ข้อดี : Veloce มักจะตั้งเป็นร้านใหญ่, มีห้องน้ำและปลั๊กไฟพร้อมทุกสาขา / ราคาถูกสุดในบรรดาร้านกาแฟ Chain / มี Menu แบบญี่ปุ่นหลากหลาย / ภายในตกแต่งแบบ European / รสชาติกาแฟได้มาตรฐานระดับ Starbucks
ข้อเสีย : Free WiFi ต้องสมัคร [ต้องรู้ภาษาญี่ปุ่น] / อาหารเป็นแบบอุ่น Microwave / มักมีกลิ่นบุหรี่แรง
Veloce เป็น Brand กาแฟญี่ปุ่นอีกรายที่เล่นในตลาดล่าง, เน้น Salary Man & Office Lady เช่นเดียวกับ Doutor
แต่บรรยากาศภายในจะตรงข้าม, คือ Veloce เน้นไฟสีส้มในขณะที่ Doutor มักจะใช้ไฟขาวสว่าง
ทีน่าตกใจสุดๆ คือ Sandwich ของ Veloce เริ่มต้นที่ 110 Yen, ถูกกว่า Convenience Store อีก !
นอกจาก 4 อันดับนี้แล้ว, ที่จริงญี่ปุ่นก็ยังมี Chain กาแฟอื่นๆ อาทิ Excelsior Caffe [เป็นเครือ Doutor ที่ยกระดับขึ้นมาอีกขั้นเพื่อชน Starbucks] หรือ Pronto [Brand นี้จะมีขายอาหาร & เหล้าด้วย] และร้านกาแฟท้องถิ่นอีกมากมาย
ส่วนตัวผมชอบนั่ง Tully’s Coffee ตอนบ่ายๆ เพราะ Brand บริการดี, มี Royal Milk Tea พร้อมปลั๊กไฟกับ Free WiFi
ในบรรยากาศสบายๆ [ตรงที่ลูกค้ามักไม่เยอะเท่า Starbucks]
แต่ถ้าเป็นตอนสายๆ ที่ไม่หิวนัก, ออกจาก Hostel ก็มักจะแวะ Doutor เพื่อหา Sandwich Set ทานกับกาแฟดำ
Veloce ไม่ค่อยชอบเท่าไรตรงที่ “ราคาถูกไป”, ทำให้บางทีมีพวก Homeless มานั่งด้วยตอนดึก…
แต่ถ้าใครไม่ชอบให้มี “กลิ่น” อื่นรบกวนขณะดื่มกาแฟ, ก็อาจต้องเลือกร้านดีๆ
เพราะอย่าง Pronto มีขายอาหารและ Doutor & Veloce ก็มักจะมีห้องสูบบุหรี่ในตัวร้าน
ซึ่งผมไม่ค่อย Ok เท่าไร, เพราะคนญี่ปุ่นสูบบุหรี่ค่อนข้างหนัก
รบกวนการทานกาแฟดำอย่างแรง…
ในส่วนของปลั๊กไฟและห้องน้ำอาจไม่ยาก, เดินเข้าไปสำรวจก่อนจะสั่งเครื่องดื่มได้เลย [ไม่เสียมารยาท]
แต่ถ้าใครอยากใช้ Free WiFi, แนะนำให้ลองยืนหน้าร้านแล้ว Connect กับ HotSpot ดูก่อน เพราะบางร้านเช่น Doutor นั้นจะปล่อย Free WiFi แบบที่ต้องลงทะเบียนผูกกับเบอร์มือถือของเครือข่ายญี่ปุ่น [เช่น SoftBank & NTT DoCoMo]
หรือไม่ก็สมัครพวก Japan Free WiFi Passport เอาไว้, สัญญาณมักจะไปถึงร้านกาแฟใกล้ๆ สถานีอยู่แล้ว
จะได้ไม่เปลือง Data จาก WiFi Router หรือ SIM Card ของเรา
สำหรับภาพทั้งหมดใน Blog นี้ก็ยังคงถ่ายด้วยกล้อง iPhone 6S, อ่าน Review ได้ใน Blog เก่าครับผม :)