Special : สมัครบัตร Amex วันนี้ฟรีตั๋วชั้นธุรกิจสู่ญี่ปุ่น 3 ใบ ! > "Click"
--------------------------
“Goldman Sachs analyst Rod Hall called for the 64GB iPhone Xr to carry a price tag of 849 USD but Hall was 100 USD too high as Apple announced that it will sell the unit at a starting price of 749 USD”
ปัญหาแบบนี้, ฝรั่งเขาเรียกว่า “First Word Problem”
“การตั้งราคาสินค้าถูกเกินไป” อาจทำให้ “ขายดีเกินจำเป็น”
จนทำให้สินค้าที่สูงกว่า [ซึ่งมักจะมี Margin & กำไรมากกว่า] ขายได้ยาก, จนอาจสะเทือนผลประกอบการของ Apple Inc ในปี 2019 ได้ [Lower than expected pricing of Apple iPhone XR will hurt earnings in fiscal 2019]
iPhone Xr กับราคาเปิดตัวเพียง 749 USD
คิดเป็นบาทไทยตรงๆ ก็ 24900 บาท
แต่คาดว่าเมื่อเข้ามาขายบ้านเราจริง, ก็น่าจะบวกเพิ่มอีกสี่พัน…
เป็น 28900 บาทเช่นเคย
และการที่ iPhone Xr เปิดตัวด้วยราคาถูกเกินอาจไม่ได้แค่สะเทือนยอดขายของ iPhone XS [Max] เท่านั้น, แต่ยังทำให้คนมองข้าม iPhone 8 รุ่นเก่าทั้งสองไปโดยสิ้นเชิง [the device will Cannibalize iPhone 8 and iPhone 8 Plus sales]
ซึ่งจะไม่ส่งผลดีต่อ Apple Inc และการทำราคาสินค้ากลุ่ม iPhone ในระยะยาว
จากมุมมองของ Goldman Sachs, คิดว่า Tim Cook น่าจะตั้งราคา iPhone Xr ให้แพงกว่านี้อีกนิด
ปัญหาใหญ่ในแบบ “iPhone Only”
แต่ที่ Goldman Sachs วิเคราะห์มาก็อาจจริงเพราะราคาของ iPhone XR VS iPhone XS ต่างกันถึง 250 USD [เมื่อเข้าไทยก็น่าจะถูกกว่ากันหลักหมื่น] แต่ iPhone Xr กลับมาพร้อม “จอภาพที่ใหญ่กว่า”, แม้ความละเอียดจะน้อยกว่านิด
แต่สำหรับตลาดกลาง, การประหยัดงบหลักหมื่นแถมยังได้จอใหญ่ก็ดู “Make Sense”
และ iPhone Xr ที่ใช้ Design แบบไร้ขอบก็ดูน่าตื่นตาตื่นใจกว่ารุ่นเก่าอย่าง iPhone 8 [Plus] จริงๆ
แต่ทั้งหมดนี้อาจเป็นแผนการณ์ของทาง Tim Cook อยู่แล้วก็เป็นได้
เพื่อจะ “เพิ่มจำนวนเครื่องที่ขาย”
แทนที่จะเน้นเรื่อง “ผลกำไรต่อหน่วย” อย่างปีที่ผ่านมา
และปล. สำหรับหลายๆ ท่านที่ถามมาว่า “ปีนี้ผมจะบินไปหิ้ว iPhone XS [Max] ตั้งแต่ขายจริงวันแรกที่เมืองนอกเหมือนสี่ห้าปีที่ผ่านมารึเปล่า ?”, ก็บอกตรงๆ ว่า “คงไม่” เพราะผมไม่รู้สึกว่า iPhone XS [Max] มีอะไรใหม่มากพอให้เสียเวลา
และช่วงนี้ผมกำลัง Start ธุรกิจใหม่, คงงดบินสักพักใหญ่ [“ใหญ่” คือน่าจะสักสองสามเดือน (#´ー´)旦]