Special : สมัครบัตร Amex วันนี้ฟรีตั๋วชั้นธุรกิจสู่ญี่ปุ่น 4 ใบ ! > "Click"
--------------------------
แทนที่จะเรียนรู้การตลาดใหม่ๆ หรือศึกษาว่าพวกเขาทำได้อย่างไร, ในโลกที่ “สื่อเก่า” กำลังจะตายอยู่มะรอมมะร่อ
เวลาเห็นกระทู้ว่าด้วย “ทำไม Blogger & YouTuber สมัยนี้รายได้ดีจัง ?”
ผมมักจะเห็นแต่คนกรูกันเข้ามาแย่งพิมพ์ว่า “จะแจ้งสรรพากร” แล้วก็ขำกันเอง [จริงๆ มันเหมือนเป็นการประจานตัวเองด้วยซ้ำ, ว่าพวกเขาไม่เคยทำธุรกิจจริงๆ & ไม่รู้เรื่องการหักภาษีใดๆ แต่ดันอยากจะ Comment เพราะนึกว่าตัวเองจะดูฉลาด]
ปีที่แล้ว, ผมก็เพิ่งซื้อบ้านหนึ่งหลังราคา 4.x ล้านด้วยเงินสดเพื่อปล่อยเช่า [ครั้งแรกของชีวิตกับ “ภาษีโรงเรือน“]
ปีก่อนหน้า, ก็ตึกแถวอีกหลังราคา 3.x ล้านด้วยเงินสดเช่นกัน
จากที่เคยต้องซ้อนมอ’ไซค์เก่าๆ ของคุณพ่อส่งอะไหล่หลังเลิกเรียน, ผมมีโอกาสได้ขับทั้ง Mercedes ทั้ง BMW ก็จากการเขียน Blog [ซึ่งเป็น “งานอดิเรก”] และเมื่อวันก่อนนี่เองที่เอารถไป Check ศูนย์ยาวก็เลยถอย BMW BigBike ออกมาใช้ชั่วคราวหนึ่งคัน
รูดบัตรเต็มราคารถแล้วจ่ายสดคืนธนาคาร, Credit Card ใบหลักผมตอนนี้วงเงิน 1.45 ล้าน
ถามว่าน่าอวดไหม ?
คำตอบคือ “ไม่”, เพราะความจริงคือ…
1. มี Blogger & YouTuber อีกมากมายในไทยตอนนี้ที่รายได้แซงผมไปอย่างขาดลอย
2. แบบที่เรียกว่า “ขาดลอยจริงๆ”
3. และ “เด็กรุ่นใหม่” พวกนี้ก็เก่งมากกกกกกกกกก
4. ไม่ใช่แค่เก่งเรื่อง “ถ่าย Video โง่ๆ” หรือ “Live ปัญญานิ่ม” อย่างที่หลายคนในกระทู้หัวเราะเยาะกันแต่ Influencers ส่วนใหญ่ที่ผมรู้จักคือเก่งทั้งเรื่องธุรกิจ, มีการวางแผนชีวิตและการลงทุนอย่างที่พวก “กลางเก่ากลางใหม่” อย่างผมต้องตะลึง
5. ส่วนเรื่องภาษี, พวก Blogger & YouTuber ตัวใหญ่ๆ ที่รายได้หลักล้านส่วนมากก็ “จดทะเบียนบริษัท” เรียบร้อย
6. ซึ่งก็แปลว่า “มีสำนักงานบัญชี” ดูแลจัดการเรื่องภาษีและสรรพากรอย่างถูกต้องตามกฏหมาย
7. ส่วน YouTuber & Blogger ตัวรองๆ ที่รายได้ต่อเดือนยังแค่หลักหมื่นหรือหลักแสน, ก็มี Agency ดูแล
8. และการ “มี Agency ดูแล” ก็แปลว่า “ทุกบาททุกสตางค์ถูกหักแน่นอน”
9. ไม่มีงานจ้าง Review ผ่าน Agency ที่ไหนที่จะไม่โดน “หัก ณ ที่จ่าย”, ซึ่งก็แปลว่าสรรพากรรับรู้รายได้ของ Blogger / YouTuber / Facebook Influencer / Instagrammer / etcer ทุกคนในไทยแทบจะทันทีที่ Agency จ่ายค่าตัวเลยด้วยซ้ำ
10. การที่ใครสักคนมาตอบกระทู้ว่า “จะแจ้งสรรพากร” แล้วขำกัน, มันก็เลยกลายเป็นการ “ประจานตัวเอง”
11. ว่าไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการทำธุรกิจเลย [นี่หว่า]
12. ได้แต่อิจฉาไปวันๆ
13. และอีกอย่างที่ผมคิด “ตรงข้ามอย่างมาก” ในประเด็นที่ว่า “อาชีพพวกนี้มันแค่หวือหวา, เดี๋ยวก็มาเดี๋ยวก็ไป” เพราะคนรุ่นเก่าส่วนใหญ่มักจะมี “ภาพ” ของ “ดารา” สมัยโบราณว่า “พอแก่ตัวไปก็ไม่มีใครจ้าง” แล้วก็ตกอับนอนขอทานอยู่ข้างถนน
14. แต่มันไม่จริง
15. เพราะ “ดารา” สมัยก่อนต้องอาศัย “ช่อง”
16. ต่อให้สวยหรือหล่อแค่ไหน, ถ้าไปทำให้ “ช่อง” ไม่พอใจก็หมดโอกาสโผล่หน้าต่อสาธารณชน
17. แต่ Blogger / YouTuber / etcer ไม่ใช่, พวกเขาเป็นทั้ง “ดารา” เป็นทั้ง “เจ้าของช่อง” ในคนเดียวกัน
18. ผมมองกลับทิศเลยด้วยซ้ำ, ว่า Blog / YouTube / Facebook [Page & Group] มีสภาพใกล้เคียง “Asset”
19. การที่เด็กรุ่นใหม่ไม่ต้องไป “ง้อ” ช่องของคนรุ่นเก่า, นี่คือ “ความหมาย” ของ Disruption
20. และมันก็คือการ “ตาย” ของสื่อยุคเก่า
21. โดยเฉพาะ Blog เพราะเราจดทะเบียนชื่อเป็นกรรมสิทธิ์โดยแทบจะสมบูรณ์, ในขณะที่ YouTube / Facebook / Instagram / Social Network ยังมีลักษณะของการ “ฝากบ้าน” ไว้กับเจ้าของที่ดิน [ซึ่งหลายๆ ครั้งชอบเปลี่ยนกฏตามใจ]
22. แต่ก็เป็นธรรมดาเหมือนธุรกิจสายอื่นๆ, คือเจ้าของ “ช่อง” ต้องคอยเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
23. ดังนั้น, การเป็น YouTuber / Blogger / Influencer ในปัจจุบันมันก็ไม่ได้ “ง่าย” อย่างที่หลายคนฝัน
24. การ “ดัง” อาจยากนิดๆ
25. แต่การ “คงความดัง” ให้ได้นานคือสิ่งที่ยากที่สุดในสามจักรวาฬ
26. ผมเขียน Blog เป็นแค่งานอดิเรกจึงไม่เท่าไรแต่ใครที่ทำ Blog / Facebook / YouTube เป็นอาชีพหลัก, ผมรู้เลยว่าบางครั้งพวกเขา “กดดันมาก” ในการคิด “มุข” หรือ “Content อะไรสักอย่าง” ให้ได้เพื่อดึงผู้ชมเอาไว้ในวันที่มี “หน้าใหม่” เกิดกันทุกนาที
27. และจริงๆ เราก็มี Blogger & YouTuber กลางเก่ากลางใหม่ที่ “ครั้งหนึ่งเคยดัง” ตายไปแบบเงียบๆ เยอะมาก
28. เงียบในระดับที่ไม่มีใครจำได้
29. วันก่อนในสัมมนา How to be Blogger ของผมก็มีคุยแบบขำๆ กันเรื่องนี้ว่ามี “อดีตเคยดัง” คนไหนบ้างที่ตอนนี้หายไปแล้ว, มีผู้เข้าฟังท่านหนึ่งยกชื่อ “เด็กชายหน้าหมา [Dogdiri]” ขึ้นมาพร้อมกับบอกว่า “ไม่มีใครในห้องนี้ไม่เคยกด Like !”
30. ปรากฏว่าไม่มีใครในห้องนึกออกสักคนว่า “เด็กชายหน้าหมา” คืออะไร
31. แต่พอกดเข้าไปดู Fanpage นั้น, ทุกคน “ตกใจ” เพราะตัวเองก็กด Liked หน้านี้แบบ “ทุกคน” จริงๆ
32. เด็กชายหน้าหมามีคน Like ทั้งสิ้น 2.4 ล้าน !
33. แต่ Post ล่าสุดของเด็กชายหน้าหมามีคนกด Like แค่สามร้อย…
[จริงๆ เขาอาจเลิกทำเพราะมีธุรกิจอื่นที่ดีกว่า, ดังนั้นผมจะไม่วิจารณ์แต่ขอยกแค่ Fact & Stat]
34. แต่ถึงอย่างนั้น, ผมก็ยัง “เห็นด้วย” กับคำเตือนของคนรุ่นเก่าที่ว่า “หาเงินมาได้ก็รู้จักเก็บหรือลงทุนบ้าง” เพราะอะไรๆ ในโลกนี้มันก็ไม่แน่ไม่นอน [โดยเฉพาะในโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกที] เหมือนผมที่เอาเงินค่าขนมจาก Blog ส่วนใหญ่ไปซื้ออสังหาฯ และกองทุน
35. เผื่อวันหนึ่งผมขี่ BigBike แล้วโดนสิบล้อคาบไปรับประทาน, พิการสมองบวมทำงานไม่ได้
36. อย่างน้อยก็มีอสังหาฯ สองหลังกับกองทุนที่เป็นเสมือนหนึ่ง Passive Income
37. นี่ก็ Plan ว่าปีนี้จะซื้อตึกเพิ่มอีกเป็นหลังที่สาม, หาทำเลดีๆ ให้บริษัทมาเช่ากินยาวๆ เหมือนสองหลังปัจจุบัน
38. เรื่องอสังหาฯ นี่ก็น่าสนใจ, ผมเห็น Blogger & Youtuber รุ่นใหม่ๆ เก่งๆ ดังๆ หลายๆ คนซื้อบ้านสวยๆ ด้วยเงินสดให้พ่อแม่แล้วก็โดนพวกมนุษย์ลุงมนุษย์ป้าในกระทู้ด่า [ด้วยความอิจฉา] ว่า “ฟุ้งเฟ้อ” บ้างหรือ “ไม่รู้จักเก็บเงิน” บ้าง
39. Oh My God, พวกเขาไม่รู้จริงๆ หรือนี่ว่า “Real Estate” มันเป็นทั้งการเก็บออมและการลงทุน
40. อสังหาฯ ผมทั้งสองที่, มีแต่ราคาขึ้นกับขึ้น
41. ระหว่างทางก็ได้ค่าเช่า, วันหนึ่งไม่เอาก็ขายทิ้งได้กำไร
42. แถม Blogger & YouTuber พวกนั้นก็ [น่าจะ] เหมือนผม, คือ “กู้ไม่ผ่าน” เพราะไม่มีงานประจำ
43. ดังนั้น, จึงซื้อเงินสด
44. ซึ่งก็แปลว่า “ถูกสุด” ในสามจักรวาฬเพราะไม่โดนดอกเบี้ยธนาคาร
45. มัน “โง่” หรือ “ฟุ้งเฟ้อ” ตรงไหน…
46. กลับมาที่เรื่องภาษี [อีกที], ผมเองก็โดนท่านสรรพากรเรียกตัวไปอธิบายเรื่องงานติดกันมาสองปีแต่ก็ “Clear” ได้ทั้งสองครั้งอย่างถูกต้องตามกฏหมายเพราะเอกสารทุกอย่างมัน “ชัดเจน” หมดทั้งจากฝั่งผู้จ้าง [Brand & Agency] และฝั่งตัวเรา
[ส่วนท่านที่มีอสังหาฯ ปล่อยเช่าก็กรุณาทำภาษีดีๆ เพราะหลังๆ สรรพากรเข้มงวดขึ้นมาก]
47. คือไม่ต้องไปกังวลแทนท่านสรรพากรว่าจะมี Blogger & YouTuber หนีภาษี
49. ไปกังวลว่าทำไมตัวเราถึงเป็นคนขี้อิจฉาขนาดนี้จะดีกว่าครับ