Special : สมัครบัตร Amex วันนี้ฟรีตั๋วชั้นธุรกิจสู่ญี่ปุ่น 4 ใบ ! > "Click"
--------------------------
“เรามีเงินเก็บ 50000 บาท, เหมาะสมรึยังกับการลาออกจากงานมาใช้ชีวิต Slow Life”
คือ “กระทู้แนะนำ” ใน Pantip ห้องสีลม, ที่ผมเห็นตอน Backpack ไป”เกาหลีญี่ปุ่นรัสเซีย” เมื่อเดือนก่อน
ตอนนั้นผมขำนิดๆ เพราะส่วนตัวผมมีเงินเย็นใน Bank มากกว่าเจ้าของกระทู้อยู่ร้อยเท่าแต่ก็ยังไม่เคยรู้สึกว่ามัน “พอ” สำหรับการ “มีคุณภาพชีวิตที่ดี” ในกรุงเทพฯ เลยและวันนี้ผมก็ขยับขึ้นมาจาก “ขำนิดหน่อย”, เป็น “กังวลมาก” แทนด้วยซ้ำ
คุณแม่ผมเข้าโรงพยาบาลกระทันหันเมื่อเช้า, [ที่จริงคืนนี้ผมต้องบินไป Tokyo เพื่อรับ iPhone 6S ด้วย]
ค่าห้อง / ค่ายาและค่าหมอแค่คืนแรกก็ราวหมื่นห้า, ยังไม่รวมค่า CT Scan อีก 14400 บาท…
1. Slow Life ไม่ได้แปลว่าพ่อแม่มีชีวิตเป็นอมตะ
ผมอายุสามสิบและคิดว่าคนส่วนใหญ่ที่ปรารถนาชีวิต Slow Life ก็อยู่ในช่วงวัยใกล้เคียงกับผม, แน่นอนว่าเรายังแข็งแรงมากพอเพราะตัวผมก็เพิ่งกลับจาก Backpack ครั้งใหญ่ประจำปีไป “เกาหลีญี่ปุ่นรัสเซีย” รวมหนึ่งเดือนโดยไม่ป่วยอะไร
แต่การที่เราอายุเข้าหลัก “3x”
ก็แปลว่าพ่อแม่ที่บ้านต้องเข้าหลัก “6x”
เป็นวัยที่แค่ “หกล้ม” ก็อาจถึงชีวิต
และเราทุกคนก็รู้กันดี [หรือพวก Slow Lifer อาจไม่ทราบ ?] ว่าค่าหมอค่ายาปัจจุบันมันแพงขนาดไหน
แต่ถ้าอยากให้พ่อแม่ต้องรอความเมตตาแบบ “Slow Life” ในห้องอนาถาก็ไม่ว่ากัน…
2. อนาคตเมืองไทยจะเป็นอย่างไรถ้าทุกคน Slow Life ?
Blog เก่าผมเขียนเรื่องที่ Hillary Clinton ออกมาแสดงความเป็นห่วงเรื่อง The Sharing Economy [ที่ตัว Clinton เรียกมันว่า “The Gig Economy”] ว่า “แล้วอนาคตของ USA จะเป็นอย่างไรถ้าทุกคนหันมาขับ Uber กันหมด ?”
ไม่มีใครคิดเรื่องอนาคต, ในวันที่ทั้งตัวเราและพ่อแม่แก่ชราลง…
ประเทศโลกที่ 1 เช่นญี่ปุ่นซึ่งมีแนวโน้มว่าผู้สูงอายุจะมีจำนวนมากขึ้นจึงหาทางให้ “ประชาชนดูแลตัวเอง”
ด้วยการสนับสนุนให้คนซื้อประกันตั้งแต่ยังแข็งแรงเพื่อให้มีเงินรักษาตัวเองเมื่อทำงานไม่ไหว
ตรงข้ามกับเมืองไทย, อะไรที่จุดกระแส Slow Life ?
ผมยังสงสัยจนถึงทุกวันนี้
3. Slow Life ก็แค่ “ข้ออ้างของ…