Special : สมัครบัตร Amex วันนี้ฟรีตั๋วชั้นธุรกิจสู่ญี่ปุ่น 4 ใบ ! > "Click"
--------------------------
ว่ากันตามตรง, ผมไม่รู้จัก “Taxi OK” หรือจริงๆ ก็คือ “ไม่เคยได้ยินชื่อด้วยซ้ำ”
และ Taxi ที่เห็นใน Blog นี้ก็เรียกผ่าน “Line Man” อีกต่างหาก…
ตอนขึ้นไปนั่ง, แวบแรกก็รู้สึกแค่ว่า “รถใหม่ดีจัง”
แต่สักพักก็สังเกตว่ามันเป็นรถที่มีอุปกรณ์ติดตั้งมากมายและคุณพี่คนขับก็เล่าอย่างภาคภูมิใจว่า “รถคันนี้ผ่านมาตรฐานของ Taxi OK”, มีทั้งปุ่มฉุกเฉิน [SOS Button] / GPS และกล้องตรงกระจกมองหลังไว้ถ่ายภาพในรถเพื่อความปลอดภัย !
แกยังเล่าอีกว่า “ทั้งหมดคือมาตรฐานใหม่ของ Taxi OK”, แต่ทางกรมขนส่งก็อนุญาตให้คนขับเอามาวิ่งกับ App อื่นได้ด้วย
จากที่ไม่เคยรู้จัก “Taxi Ok”, ผมก็เลยกลับมานั่ง Googling ดู
ก็เพิ่งจะรู้ว่ามันเป็น Project ของทาง “กรมการขนส่งทางบก” เองจริงๆ [Nickname คือ “Taxi 4.0”]
นอกจากอุปกรณ์ในรถที่เพิ่มมาจนใกล้เคียง Taxi เมืองนอก, ตัวคนขับเองก็ต้อง “ขึ้นทะเบียน” กับทางกรมขนส่งและยังต้องเข้ารับการอบรมวิธีใช้ Technology ทั้งหมดที่ใส่มาใน Taxi OK รวมทั้งการเรียกรถผ่าน Application ชื่อเดียวกัน
ด้วยความสงสัย, ผมก็เลยถามไปว่า “มีใครเคยกดปุ่มฉุกเฉินบ้างรึยัง ?”
แกก็ขำ, แล้วบอกว่า “เพิ่งจะขับได้ไม่กี่เดือน” และ “ยังไม่มี”
แต่ก็ชี้ที่กล้องด้านหน้าเหนือกระจกมองหลังว่า “ถ้ามีคนกดปุ่ม SOS, กล้องตัวนี้จะจับภาพผมส่งไปที่กรมขนส่งทันที”
แล้ว “เจ้าหน้าที่ก็จะโทรมา, ถ้าคนขับไม่รับก็จะสั่งการให้ตำรวจในท้องที่ตามหาตัวรถผ่านทาง GPS”
เท่าที่คุย, รู้สึกได้เลยว่าตัวคนขับแกก็ภูมิใจในรถคันนี้เหมือนกัน
ขนาดผมที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับ Taxi, ฟังที่แกเล่าแล้วยังรู้สึกดีตามไปด้วย
เพราะส่วนตัวผมนั่ง Taxi [& Uber] ที่ญี่ปุ่นมาก็หลายที, สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้ก็คือ “คนขับมีความภูมิใจในงานของตน”
และเมื่อไรที่มี “ความภูมิใจ”
มันจะสะท้อนออกมาเป็น “คุณภาพ” ของงานที่ทำ
ผมเองก็ “ให้กำลังใจ” แกไปชุดใหญ่เพราะเชื่อว่าอุปกรณ์ที่ติดตั้งทั้งหมดนี้คงเพิ่ม “ต้นทุน” ให้คนขับพอสมควร, อย่างน้อยๆ แกก็ควรได้คำชมกลับไปว่า “สิ่งที่ทำอยู่คือสิ่งที่ดี” / “สมควรแล้วคนที่ทำดีจะมีสิทธิภาคภูมิใจ” และผมคือคนหนึ่งที่รู้สึก “ขอบคุณ”
ในสังคมที่ให้ค่ากับการด่าและเสียบประจาน, เราควรมีพื้นที่ให้คนทำดีมีกำลังใจทำต่อไป…