Special : สมัครบัตร Amex วันนี้ฟรีตั๋วชั้นธุรกิจสู่ญี่ปุ่น 3 ใบ ! > "Click"
--------------------------
ล่าสุด, 7 Eleven [by CP] ก็เป็นอีกรายที่เข้ามาสู่ตลาดการส่งพัสดุแข่งกับไปรษณีย์ไทย / Yamato Kurokeno [แมวดำ] by SCG และ Kerry Express แต่ดูเหมือนว่า “Speed D” จะมีอนาคตยาวไกลเพราะอิงกับสาขา 7 Eleven ที่มีอยู่ทั่วประเทศ
วันก่อน, ผมไป Kerry Express เพื่อส่งมือถือที่ลงเลหลังไว้บน Blog และก็ต้องพบกับ “คิว” ที่ยาวมหาศาล
นึกถึงกระทู้ตาม Pantip, เวลามีคนบ่นว่า “เศรษฐกิจไม่ดี” ก็จะมีคนเข้ามาหัวเราะเยาะใส่ว่า “เพราะไม่รู้จักปรับตัว !”
ต่อด้วย “ทุกวันนี้เขาสั่ง Online กันหมดแล้ว, พ่อค้าแม่ขายเขาส่งของกันแทบไม่ทัน !”
อยากรู้ว่าจริงไหม, ผมเลยถามผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังต่อคิวอยู่ด้านหน้าแต่คำตอบที่ได้อาจไม่ตรงใจชาว Pantip เท่าไร
“ยิ่งขาย Online ยิ่งเจ๊งค่ะ”
เป็นคำตอบที่ [อาจจะ] น่าแปลกใจสำหรับหลายคนแต่สำหรับผม, พอเดาได้
เพราะมีลูกค้า Startups & SMEs หลายเจ้าที่คุยๆ กันและพวกเขาต่างก็บอกว่า “ใกล้ตาย” ทั้งนั้น
เหตุผลก็ง่าย
1. เดิมทีขายของ Online หนึ่งชิ้น [สมมติว่า] กำไรร้อยบาทแต่เพราะตอนนี้ทุกคน “แห่มา” ขาย Online กันหมด [ตามคำแนะนำแบบ Pantip], สิ่งที่ตามมาก็คือ “การตัดราคาถล่มทลาย” จนสุดท้ายเหลือ Margin แค่ชิ้นละห้าบาทสิบบาท !
2. แต่ก็ต้องขายต่อไป, ไม่อย่างนั้นทุนก็จมและของบางอย่างต้องรีบปล่อยให้ได้เพราะหมดอายุง่ายหรือตกรุ่น
3. จากเดิมที่ขายวันละสิบชิ้นก็อยู่ได้, กลายเป็นต้องขายเพิ่มขึ้นเป็นวันละร้อยชิ้น !
4. ซึ่งจริงๆ ต้องวันละสามร้อยชิ้นด้วยซ้ำเพราะต้นค่ากล่องกับค่าส่งพัสดุเองก็ต้องคูณสิบเข้าไปเช่นกัน
5. ยังไม่นับค่าลงโฆษณาที่ต้องแข่งกันประมูล, ในกรณีที่ขายบน Facebook / Instagram / Google Ad / etc
6. ต้นทุนเพิ่มทุกด้าน, งานหนักขึ้นทุกทางแต่ก็หยุดขายไม่ได้เพราะทุนจมไปครึ่งตัวแล้ว
7. ตอนนี้นางแทบจะต้องย้ายบ้านมาอยู่หน้า Kerry Express
8. แต่ยิ่งขายเหมือนยิ่งเจ๊ง, เงินต้องจ่ายให้กับเจ้าที่ [เช่น Facebook & Google] และค่าส่ง Kerry Express
9. ที่ “นรก” หนักขึ้นอีกก็คือ “เจ้าใหญ่หันมาขายเองเยอะขึ้นมาก”, จากเดิมที่คนสั่งจากนางก็กลายเป็น “สั่งตรงจากต้นทาง” และอีกหนึ่งคู่ต่อสู้มหาโหดก็คือ “จีนพร้อมส่งข้ามประเทศ” ด้วยต้นทุนการผลิตที่ต่ำสุดๆ แถมค่าส่งข้ามแผ่นดินยังเป็นศูนย์…
[ด้วยนโยบายของรัฐบาล]
10. ที่กำไรจริงๆ จากนี้คือ “เจ้าใหญ่” หรือไม่ก็ “จีน” เพราะยิ่งวัน, ลูกค้าก็จะยิ่งสั่งตรงจากสองเจ้าที่ว่าฯ
11. ที่สั่งจาก “เจ้าใหญ่” ก็เพราะรู้สึกว่าเชื่อถือได้มากกว่า [เช่นสั่งจากเครือ Central & Tesco]
12. ส่วนที่สั่งจากจีนก็เพราะมัน “ถูกกว่าซื้อในไทยด้วยซ้ำ !”
13. แต่นางก็ยังต้องขาย Online ต่อไป, เพราะทุนก็จมไปแล้วและจะกลับไปทำงานประจำก็ยาก
14. เพราะพวกธุรกิจรายย่อยตอนนี้ก็แทบจะกระอักเลือดตาย, ใครเขาจะรับพนักงานใหม่ ?
15. หากถามว่าทำไม, ก็ย้อนกลับไปอ่าน 14 ข้อที่ผ่านมาได้
16. ถ้ายังนึกภาพไม่ออกก็ลองเอาทั้ง 14 ข้อมาขยาย Scale ให้ใหญ่, มันแปลว่าธุรกิจรายย่อยต่างๆ ล้วนแต่รายได้ลดลงอย่างมากจากการที่คนหันไปสั่งซื้อของ Online จากเจ้าใหญ่หรือจากจีนและแนวโน้มทางนี้มีแต่จะหนักขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน
[จะด่ามากก็เกรงใจ, ขนาดไฟท้ายจักรยานกับ Sticker แต่งรถของผมยังสั่งจากจีนได้ถูกกว่าซื้อในไทย]
17. เมื่อพ่อค้าแม่ค้าขายของยากขึ้น, ก็จะไม่ค่อยอยากซื้ออะไรเช่นกัน
18. จำนวนเงินในระบบ [เริ่มจากตลาดล่างจนถึงตลาดกลาง] ก็จะหดตัว
19. ซึ่งก็แปลว่าความคึกคักในตลาดก็จะน้อยลงไปอีก
20. และผลก็จะเริ่มสะเทือนขึ้นไปยังตลาดกลางบน, ที่จะเริ่มไม่ค่อยอยากใช้เงินเพราะรู้สึกว่าอนาคตไม่แน่นอน [ส่วนตัวผมคิดว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มนี้ที่จริงๆ ยังมีทั้งรายได้ทั้งเงินออมทั้ง Passive Income แต่ชักจะเริ่มเห็น “สัญญาณ” บางอย่าง…]
21. พวกที่หัวเราะเยาะว่า “ไม่รู้จักปรับตัว”, สังเกตอย่างหนึ่งว่ามักจะเป็นพวกที่ไม่เคยทำธุรกิจ
22. อาจเป็นพนักงานประจำมาทั้งชีวิต, สิ้นเดือนก็ยังมีเงินมาให้หมุนจึงยังรู้สึก “ปลอดภัย”
23. แต่ปีหน้าก็ไม่แน่เพราะธุรกิจรายย่อยจะต้องเริ่ม “โละ” คนงานหรือปรับฐานตัวเองให้เล็กลง, มีพนักงานบริษัทลูกค้าที่ชอบมาสั่งสอนผมเหมือนกันว่า “ให้ปรับตัวอย่างนั้นอย่างนี้” โดยที่ไม่รู้ตัวเองเลยว่าบริษัทที่จ้างมันกำลังจะเจ๊งบ๊งอยู่แล้ว
ที่รู้เพราะเจ้าของบริษัทมันคุยกับผมอยู่, นี่กำลังเชียร์ให้ไล่มันออกต้นปีหน้า [จะได้หายบ้าสักที]