Special : สมัครบัตร Amex วันนี้ฟรีตั๋วชั้นธุรกิจสู่ญี่ปุ่น 4 ใบ ! > "Click"
--------------------------
หลังๆ ผมชอบงานอดิเรกใหม่ที่เรียกว่า “How to be Blogger” มาก, ไม่ใช่เพราะมันได้ “ค่าขนม” เล็กๆ น้อยๆ เป็นทุนสำหรับการ Backpack แต่เป็นเพราะผู้เข้าฟังส่วนใหญ่ล้วนแต่ “เก่งฉกาจ” มีความรู้ความสามารถในสายของตนอย่างยิ่ง
และ How to be Blogger ของวันนี้ก็เพิ่งจบไป, มีท่านหนึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Robot & Automation
เมื่อพูดถึง Robot & AI, เรามักนึกถึง “การตกงานครั้งใหญ่ของมนุษยชาติ”
แต่วันนี้, ผมได้มุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับ “ประเด็นทางสังคม” เกี่ยวกับ Robot VS คน
เขาบอกผมว่า “ตอนนี้เรามีภาพลักษณ์ที่ลบมากเกินไป, ว่า Robot & AI จะเข้ามาแย่งงานคน”
Robot จะจัดการงานสกปรกที่คนไม่อยากทำต่างหาก
ปัจจุบันบ้านเรามีปัญหานี้ไม่น้อย
งานบางอย่างคือ “งานที่คนไม่อยากทำอยู่แล้ว” ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยหรือความสะอาด, โดยเฉพาะในโรงงานและสายการผลิตบางแห่งที่เกิดสารเคมีอันตรายก็ยิ่งเหมาะมากหากจะใช้ Robot & Automation เข้าไปทำงานแทน
ยังไม่นับเรื่องอันตรายหนักๆ, อย่างงานกู้ภัยหรือกู้ระเบิด
มันคือ “งานที่มนุษย์เราควรหลีกเลี่ยง” แต่ปัญหาคือ “ที่ผ่านมามันเลี่ยงไม่ได้”
การมี Robot จะช่วยตรงนี้
ทำให้มนุษย์เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและเอาเวลาไปต่อยอดสิ่งต่างๆ ได้
ใช้ Robot แทนที่การจ้างแรงงานต่างชาติ
แน่นอน, แรงงานข้ามชาติที่ดีก็มีไม่น้อย
แต่ก็ต้องยอมรับเช่นกันว่าบางส่วนเป็นแรงงานผิดกฏหมาย, ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการก่ออาชญากรรม [เช่นเดียวกับปัญหาผู้อพยพใน Germany & EU] เพราะไม่ได้ขึ้นทะเบียนจึงตามตัวไม่ได้ [หรืออาจก่อเหตุแล้วหนีข้ามพรมแดนกลับประเทศเงียบๆ]
Robot จะมาทำงานแทนคนกลุ่มนี้
ส่วนงานที่หุ่นทำไม่ได้, รัฐก็ควรจะสนับสนุนและให้สิทธิคนไทยได้ทำงานก่อน
เพื่อลดการพึ่งพาแรงงานต่างชาติไม่ให้มากเกินไป, โดยไม่อัตราการว่างงานของคนไทยเยอะจนเกิดปัญหา
และสิ่งที่เขาพูดทิ้งท้ายอีกอย่างคือ “เราต้องมอง Robot ในฐานะ Investment”
ผมนึกถึงการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งขึ้นมา
ผู้ใหญ่บางคนยังมองว่า “การ์ตูนคือเรื่องไร้สาระ”
[ผมออกตัวเลยว่าอายุสามสิบกว่าแล้วแต่ยังอ่านการ์ตูนทุกวัน]
พระเอกเรื่องนี้เป็น “นักลงทุนสมัครเล่น” ระดับมัธยมศึกษาที่กำลังคิดว่าปัญหา “สังคมผู้สูงอายุ” ของญี่ปุ่นจะทำให้ชาติล่มสลายแต่กลับได้มุมมองใหม่ๆ จากมหาเศรษฐีในภาพซ้ายว่า “นี่คือโอกาสดีชัดๆ [We Should Call in Chance Instead]”
เพราะการที่ญี่ปุ่นกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุก่อนประเทศใด, คือโอกาสในการพัฒนา Robot แบบใช้งานจริง !
ไม่ช้าก็เร็ว, ประเทศอื่นๆ ในโลกก็ต้องกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุเช่นกัน [โดยมี “ไทย” เราคืออันดับสองของ Asia]
และเมื่อถึงวันนั้น, ทั้งโลกจะกลายเป็นตลาดให้ญี่ปุ่นส่ง Robot ออกไปโกยเงินเข้าประเทศ !
ด้วยคำว่า “Made in Japan” ที่ทุกคนยัง “ไว้วางใจ”, เราจะกลายเป็นผู้นำในตลาดผู้สูงวัยซึ่ง “โตขึ้นทุกวัน” และตลาดก็ต้องการสิ่งที่ “เชื่อถือได้” เพราะมันเกี่ยวข้องกับชีวิตคนแต่สำคัญที่ว่า “เราต้องมอง Robot วันนี้ในฐานะ Investment”
แทนที่จะกลัว Robot แย่งงาน, เราควรกลัวว่าสักวันจะต้อง “จ้าง” หุ่นชาติอื่นมาคุมแรงงานไทยต่างหาก